Not Your Keys, Not Your Coins
ในช่วงเวลานี้แทบไม่มีใครไม่รู้ซึ้งถึงคำนี้อีกต่อไปแล้ว (น้ำตาตกในกันเป็นแถว) เพราะ Exchange อันดับสองของโลกอย่าง FTX ได้ปิดตัวลงไปไม่นาน พร้อมกับเงินของใครหลายคนที่โอนออกกันไม่ทัน แน่นอนว่านี่จะเป็นบทเรียนสำคัญของชาวเรา อย่าให้ได้เกิดขึ้นซ้ำซ้อนอีกเลย!
แต่หลายคนอาจจะคิดว่า..
แหม.. แต่กระดานเทรดอื่นๆ (เช่น Bitkub, Binance, Satang Pro … etc) ก็ยังปลอดภัยอยู่นี่.. ขอเอาไปฝากกินดอกเบาๆ ในนั้นได้มั้ย?
คำตอบ คือ “Your money your choice” แต่อย่าลืมว่านอกจากประเด็นของความปลอดภัยของทรัพย์สินแล้ว ยังมีเรื่อง Privacy ต่างๆ ที่ชวนให้กังขาว่ากระดานเทรดมีความไว้เนื้อเชื่อใจได้เท่าไรกันแน่อีกด้วย
แต่ก็ไม่ได้บอกว่ากระดานเทรดเชื่อใจอะไรไม่ได้ขนาดนั้น (แต่มันก็เชื่อใจไม่ได้ขนาดนั้นจริงๆ แหละ)
แค่กำลังจะบอกว่า.. อย่าไปไว้ใจอะไรง่ายๆ เพราะสุดท้าย.. “Not your keys, not your coins”
แล้วทำยังไงถึงจะได้ Key เป็นของตัวเอง?
ก็ต้องมี Wallet เป็นของตัวเองไงล่ะ.. ซึ่งวิธีการเลือก Wallet แบบง่ายๆ ลองไปทดสอบได้ที่ https://bitcoin.org/en/choose-your-wallet
Wallet ก็มีหลากหลายให้เลือกตามแต่ใจชอบ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึง Hardware wallet ว่าเป็นยังไง ใช้งานยังไง?
ซึ่ง.. ถ้าขี้เกียจก็ไปดูยูทูปด้านล่างนี้เลย ในนั้นจะอธิบายละเอียดยิบกว่า แต่ในกรณีที่แค่อยากเปิดดูรูปผ่านๆ แล้วทำตามได้ ก็เชิญอ่านต่อได้เลยค่ะ
Using Trezor by อ.ปิรันย่า33
Setting Trezor One
1) มี Hardware wallet เป็นของตัวเอง จะ Trezor/Ledger/Cold card ก็ได้ แต่เราใช้ Trezor one เพราะถูกกว่า และยังไงก็เก็บแค่ BTC ตัวเดียว
คำแนะนำ : ซื้อจาก web โดยตรงเลยจะดีกว่า เพราะมีเรื่องของความปลอดภัย ไม่ต้องผ่านมือที่ 2/3/4 เสียค่าภาษี และรอนิดหน่อยเพื่อความสบายใจ แต่อย่างไรก็ตาม.. เป็นเพียงแค่คำแนะนำ
คำแนะนำที่สอง : ดูเว็บที่จะซื้อให้ดีๆ เผื่อมี Phishing หรือ Scam มาลวงให้ซื้อ จ่ายเงิน แล้วไม่ได้ของ
คำแนะนำที่สาม : ถ้าจะเก็บแค่ bitcoin ตัวเดียวไม่ปันใจให้ใครอื่น ก็อยากแนะนำ Coldcard mk4 มันดูปลอดภัยดี และมี Type c / NFC tap ด้วย
2) ของที่สั่งมาใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2-3 สัปดาห์แล้วแต่ช่วงเวลานั้นๆ (ช่วงนี้ของอาจจะหมดก็ได้นะ…) กล่องที่ได้มาจะแพ็คแน่นมาก แกะยังไงก็ไม่สวย (แต่อาจจะมีคนแกะสวยกว่านี้ก็ได้ค่ะ)
คำแนะนำ : ตรวจสอบกล่องว่าไม่มีการงัดแงะมาก่อนหรือไม่? กล่องจะต้องเนี้ยบ ซีลในพลาสติกอย่างดี เพื่อล่อให้เราแกะอย่างกระจุยกระจาย
3) โหลด Trezor Suite มาใช้ (แบบ Browser ได้ยินมาว่า เขายกเลิกแล้ว)
โหลดมาแล้ว แกะกล่องแล้ว เสียบ Trezor เข้าไปค่ะ ซึ่งเครื่องมันจะมาเปล่าๆ ไม่ได้โหลด Software มาให้ ก็ดาวน์โหลด Software ให้เรียบร้อย ทำตาม Step ที่มันบอก
คำแนะนำส่วนตัว : ช่วงที่มันให้ Update software ต้องมีเทคนิค (ซึ่งคนอื่นไม่เห็นยาก ทำไมชั้นยากอยู่คนเดียว?) คือ กด 2 ปุ่มค้างเอาไว้ก่อนที่จะเสียบ USB แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น
รูปจาก YouTube คลิปนี้..
5) ตอนจด Seed จดดีๆ จดละเอียดๆ จดเสร็จแล้วลอง Check seed อีกรอบว่าที่จดมาถูกไหม? Check จนกว่าจะแน่ใจว่า Seed ที่จดมาถูกต้อง โดย Model one จะให้จด 24 คำ ก็จดมันไปค่ะ
จดแล้วก็อย่าถ่ายรูป อย่าไปแชร์ให้ใครเห็น โดนแฮกกันจากถ่ายรูปนี่บ่อยมากๆ เก็บเอาไว้ให้เป็นความลับเลยค่ะ
วิธีการ Check seed คือกด Setting > Device > Check backup
6) ในกระเป๋าจะมี Standard wallet และ Hidden wallet ก็เลือกได้ว่าจะเอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋าไหน
- Standard wallet ก็คือกระเป๋าทั่วๆ ไป เปิด Trezor มาก็เจอเงินในหน้านี้เลย
- Hidden wallet จะมีการเข้ารหัสอีกนึงที Passphase ซึ่งก็เป็นการป้องกันอีกหนึ่งชั้นในกรณีที่มีคน Hack wallet เราไป ก็จะไม่สามารถเข้าถึง Hidden wallet ได้ ยกเว้นแต่ว่า Hacker จะรู้ Passphase เรา!
ใน Wallet เราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Native Segwit address (ปกติจะตั้งอันนี้เป็น Defualt ให้อยู่แล้ว เพราะปลอดภัยที่สุด สามารถเช็คได้ว่า address เป็น bc1 หรือไม่ ..ถ้าใช่ก็ถูกต้อง)
สามารถซ่อน Hidden wallet ได้ด้วยนะ กดเข้าไปที่ Setting และซ่อน Hidden wallet เอาไว้ คราวนี้ถ้าเราจะใช้ก็ค่อยไปกดเปิดอีกที
และเราก็สร้าง Wallet เสร็จแล้ว ไม่ยากเลย! (แต่ตอนทำครั้งแรกอะล่ก อย่างกังวลว่าจะจด Seed ถูกมั้ย? แล้วอีตอน Check seed นี่.. อย่างเสียเวลา.. กดผิดๆ ถูกๆ หลายรอบ แต่อย่างว่า.. เพื่อความปลอดภัย และทำให้ความประสาทแดกของเราลดลง!)
โอนเงินเข้า Wallet!
ตอนเปิด Wallet อะ ไม่ยากหรอกจะบอกให้.. ไม่ตื่นเต้นเท่าตอนจะโอนเงินจาก Exchange มากระเป๋า — ใจสั่นเป็นบ้า ><
“Be your own bank” นี่เป็นคำเท่ๆ คูลๆ แต่ตอนจะทำ เราก็ต้องมี Secure เท่า Bank ด้วยเหมือนกัน (พอทำเสร็จก็คูลอยู่นะ/คิดไปเอง)
อะ.. มาเริ่มเหอะ..
- เปิด Trezor แล้วไปที่ Recieve
เช็ค address ที่จะโอนว่าถูกต้องมั้ย?
โดยเช็คจากหน้าจอคอมพ์แล้วดูที่หน้าจอ Trezor ด้วยว่าเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนกันนี่.. อะไรสักอย่างมีปัญหาแน่ๆ (ไม่คอมพ์ก็ฮาร์ดแวร์) อาจโดนเจาะเข้ามาแล้ว (แนะนำว่าถ้าไม่เหมือนกันไปถามในกลุ่ม Siamnese Bitcoiners เถอะ เพราะแก้ไม่เป็นเหมือนกัน)
แต่ถ้าเหมือน.. ก็อย่าเพิ่งใจร้อนรีบโอน ก๊อป address อันนั้นไว้ใน note (หรือจะที่ไหนก็ตามใจ) แล้วถอด Trezor อีกสักครั้ง เช็ค address ที่ขึ้นมาว่าเหมือนกับอันเดิมที่ก๊อปไว้มั้ย?
เช็คอย่างนั้นแหละจนกว่าจะพอใจ (อย่างของเราก็สักสามสี่ครั้ง เผื่อมีใครอยากรู้)
2. เปิดบนหน้า Exchange ของตัวเองเพื่อจะโอน ตรง address ก็สามารถก๊อป address หรือจะสแกนก็ได้ แต่สำคัญคือเลือก Network ให้ถูกต้องกับเหรียญที่จะโอน
โอน BTC ก็ใช้ BTC เท่านั้น !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คราวนี้ก็ Confirm โล้ดดด!!
โดยแต่ละกระดานเทรดจะมีค่าโอนออกไม่เท่ากัน แต่โดยปกติแล้วการโอนออกแต่ละครั้งจะรวมค่า Network fee ไปให้แล้ว (อาจมีบางกระดานที่ไม่ได้รวม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรวมให้) คราวนี้พอโอนออกก็ต้องรอหน่อย เพราะจะต้องมีการ Confirm transaction
โดยเราสามารถเข้าไป Check transaction ได้จากเว็บ https://blockstream.info หรืออีกหลายเว็บ มีให้เลือกเยอะ (แต่ชอบ Blockstream มันสวยดี)
พอเราเข้าไปดูที่ Transaction ก็จะเจอว่า Unconfirmed (ถ้าดูหน้า Exchange ก็น่าจะเป็น Pending) รอราวๆ สัก 10–15 นาที (แล้วแต่ช่วงความหนาแน่นของ Traffic ช่วงนั้น โดยเราสามารถเช็ค Traffic network ได้ด้วยเช่นกันเพื่อประหยัดค่าโอน)
เมื่อถึงคิวระบบก็จะขึ้น Confirm แม้จะยังไม่มี Confirm ในหน้าเว็บ แต่เงินก็จะเข้าไปอยู่ใน Wallet โดยขึ้นคำว่า UNCONFIRMED และจะ Confirm ในที่สุดเมื่อปิดบล็อคได้
จบ!! …เป็นอันเสร็จสิ้นการโอนบิตคอยน์มาไว้ในกระเป๋าตัวเอง ถือได้ว่าตัวเรานั้นก็เป็น Bank ได้ด้วยเช่นกัน เท่านี้ก็จะไม่มีใครมายุ่มยามกับ bitcoin ของเราได้ ถ้าเราไม่ดันเอา Seed ไปทำหายที่ไหนเสียก่อน
สำหรับบางคนรู้สึกว่า Hardware wallet อาจจะยุ่งยากไปบ้าง ขอใช้ Soft wallet ก่อนได้มั้ย?
คำตอบคือ.. ก็ได้ แต่ “ความปลอดภัย” ไม่เหมือนกัน
แต่แน่นอนว่ามันไม่มีถูก ไม่มีผิด ใครสะดวกแบบไหนก็ใช้แบบนั้นไปก่อน Hardware wallet อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สำคัญ
ยิ่งในวันที่ตลาดคริปโตเหมือน น้ำลดตอผุด แบบนี้ เราจึงยิ่งควร รักษาบิตคอยน์ของเรายิ่งชีพ ด้วยเช่นกัน