DALLE_2022-12-21_17.22.09_-_baby_in_the_womb_digital_art (1)
Picture of fastingfatdentist

fastingfatdentist

Behind FIAT Curtain Ep.1 : เราคือคนที่พาเด็ก ๆ ไปอยู่ในระบบ Fiat

“การสร้างเด็กให้แข็งแรงนั้น ง่ายกว่าการซ่อมผู้ใหญ่ที่เกิดความเสียหายแล้ว” “It is easier to build strong children than to repair broken men.” – Frederick Douglass

จากบทนำใน Ep.0 เมื่อเราได้ลองเปิดใจ ทำใจให้ว่าง วางความเคยชินลง แล้วมาเปิดรับความเป็นจริง เราจะเริ่มมองเห็นถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่เป็น Fiat มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้น คือการที่สิ่งต่าง ๆ ในระบบ Fiat ทำงานสอดรับกันอย่างแนบเนียน จนเราติดอยู่ในสายพานระบบ Fiat นี้อย่างไม่รู้ตัว

เพราะระบบ Fiat คือระบบที่ทำตามคำสั่งหรือแผนการเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้ “ใครบางคน” โดยไม่ได้สนใจผลกระทบที่เกิดกับ “คนที่อยู่ในระบบ”

และในบทที่ 1 นี้ ผมจะพาทุกคนมาดูระบบ Fiat ผ่านจุดเริ่มต้นของชีวิตกัน 

นั่นก็คือเด็ก ๆ

เมื่อทารกคลอดจากท้องแม่ และเสียงแรกของชีวิตได้ดังขึ้น ทารกจะได้รับการชำระล้างตัวครั้งแรก ด้วยการเช็ดตัวเพื่อกำจัดเลือด ไข น้ำคร่ำ และสิ่ง (ที่เหมือนจะ) สกปรกออกจากตัวทารก แล้วห่อตัวด้วยผ้า ก่อนจะพามาหาพ่อแม่ เพื่อรับอ้อมกอดและสัมผัสแรกของครอบครัว จากนั้นทารกจะถูกนำไปสู่ห้องแรกคลอด และให้คุณแม่ได้พักฟื้นความเหน็ดเหนื่อยจากการคลอดทารก

และนี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของการได้สัมผัส Fiat Product ชิ้นแรกของทารก

Product รอบตัวเราคือ Fiat Product

สำหรับทารกที่โชคดีหน่อย จะได้รับการชำระล้างร่างกายด้วย “สบู่เด็ก” ซึ่งเป็นสบู่ที่มีความเป็นกรดด่างหรือมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิวหนังของเขา คือประมาณ pH 5.5 ทำให้เด็กแรกคลอดนั้นไม่จำเป็นต้องทาสิ่งใดบำรุง ผิวก็เนียนนุ่มน่าสัมผัส เพราะค่า pH ของผิวหนังมนุษย์คือ 4.7 – 5.75 (ที่มา  https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18489300/) ซึ่งด้วยสภาวะ pH นี้ เชื้อประจำถิ่นที่อยู่บนผิวหนังจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพผิวหนังและสุขภาพโดยรวมด้วย

หยุดเรื่องราวตรงนี้นิดนึงครับ เพราะคุณอาจจะเริ่มสงสัยว่าผิวหนังเรามีเชื้ออะไรด้วยหรือ? ทำไมถึงเคยได้ยินแต่เชื้อในลำไส้?

คำตอบคือ “มีครับ” (ที่มา : https://www.nature.com/articles/nrmicro.2017.157)

ลองนึกภาพเมื่อเราไล่สังเกตไปตามผิวหนังด้านนอก เข้าไปภายในปาก ลึกลงมาตามหลอดอาหาร ตกมาที่กระเพาะ กลิ้งไปตามลำไส้ จนมาเจอทางออกที่ก้น เราจะพบว่ามันคือผิวหนังผืนเดียวกัน ไม่มีการตัดขาดเลย ดังนั้นมันจึงมีสภาวะโดยพื้นฐานเหมือนกัน คือมีเชื้อประจำถิ่นอยู่ และเชื้อเหล่านี้มีหน้าที่ปกป้องเราจากโรคภัย มลภาวะ และสารพิษ รวมถึงมีส่วนในการสร้างกลิ่นตัวของเราขึ้นมา ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะอยู่ได้ในสภาวะที่เป็นกรดอ่อน ๆ ดังนั้นจึงอาจสรุปง่าย ๆ ได้ว่า

“ตัวเราทุกตารางมิลลิเมตร ล้วนมีเชื้อประจำถิ่นอยู่ทั้งสิ้น”

ซึ่งเมื่อเชื้อเหล่านี้เสียสมดุล ย่อมจะส่งผลต่อร่างกาย รวมถึงการเกิด “โรคภัยไข้เจ็บ” ที่เราอาจจะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งผมจะขอเก็บประเด็นนี้ไว้ขยายความในบทถัด ๆ ไปนะครับ

กลับมาในเรื่องทารกของเรากันต่อ

ในบางสถานพยาบาล หรือเมื่อพ่อแม่พาทารกกลับบ้านไปแล้วไม่ได้ใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จะเกิดอะไรขึ้น? เพราะสบู่โดยทั้่วไป pH ประมาณ 8-9 ซึ่งมีความเป็นด่างคนละขั้วกับของผิวหนังเลยทีเดียว

ถ้าเราจำเรื่องกรดด่างในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อกรดเจอด่าง จะกลายเป็น “เกลือ” และเกลือมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำด้วย แบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นที่ผิวหนังครับ? ให้เวลาคุณลองหยุดคิดดูแป๊บนึง…

ใช่แล้วครับ ผิวหนังของเราจะเสียสมดุล pH และเชื้อประจำถิ่นจะเริ่มเกิดปัญหา จนผิวหนังเราจะขาดความชุ่มชื้น แห้ง ลอกเป็นขุย และระคายเคือง

แล้วจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี?

การถือกำเนิดของ Fiat Product ตัวถัดมา

เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังขาดความชุ่มชื้นและระคายเคือง เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเกิด Fiat Product ตัวถัดมาอย่างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ นี่ยังไม่นับเกลือที่ถูกชะล้างลงพื้นผิวในห้องน้ำจนเกิดเป็นขี้เกลือและทำให้พื้นลื่นอีก ซึ่งหลาย ๆ ครอบครัวก็เลือกใช้สารพิษในการจัดการกับพื้นลื่นที่ว่านี้ ซึ่งผมยังไม่ขอลงรายละเอียดในตอนนี้นะครับ เดี๋ยวจะพาให้เรื่องทารกของเราไม่จบ

เมื่อช่วงต้นของบทความ ผมได้เกริ่นไว้ว่า “ทารกที่โชคดีหน่อยจะได้รับการชำระล้างร่างกายด้วยสบู่เด็ก” แต่ไม่รู้ว่าคุณสังเกตหรือเปล่าครับว่ามันแปลว่าอะไร? มันน่าสงสัยไหม?

เพราะถึงแม้ว่าทารกจะได้ใช้ Product ที่เหมาะสมต่อสภาพผิวหนังแล้ว แต่ถ้าเราลองมาดูส่วนผสมอื่น ๆ ของ Product นั้น จะพบว่ามีบางสารที่ส่งผลเสียต่อผิวหนังรวมอยู่ด้วย เช่น สารที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง เป็นผื่น หรือเกิดอาการแพ้ได้ หรือมีสารที่ฆ่าและกำจัดเชื้อตามธรรมชาติที่ผิวหนัง รวมถึงสารที่ขจัดไขมันโดยธรรมชาติของผิวหนังออกไป

ทีนี้พอพูดถึงเรื่องการขจัดไขมันโดยธรรมชาติของผิวหนังออกไป Fiat Product นั้นทำให้เราเชื่อว่า “ไขมันที่ผิวนั้นสกปรก” เมื่ออาบน้ำจึงควรใช้ Fiat Product ขจัดไขมันเหล่านั้นออก แล้วใส่กลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมแทน

ผมอยากให้ลองวางความเคยชินลงก่อนนะครับ เพราะการที่เราใช้ Fiat Product ตัวแรกเพื่อเอาไขมันธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นออกไปจากผิว แล้วไปเติมไขมันดัดแปลงที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติจาก Fiat Product ตัวที่สองมาทาที่ผิวแทน คุณคิดว่ามันแปลก ๆ ไหมครับ?

“ทำไมเราเอาสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างออก แล้วเอาสิ่งดัดแปลงผิดธรรมชาติมาแทนที่?”

สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นย่อมมีเหตุผลเสมอ และไม่เคยสร้างขึ้นเพื่อทำร้ายหรือฆ่าเราแน่นอน อย่างเช่นไขมันที่ผิวนั้นร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเก็บกักความชุ่มชื้น ลดการอักเสบจากสิ่งต่าง ๆ และเป็นอาหารให้กับเชื้อที่ผิวหนัง

หรือแม้กระทั่งเรื่องสารฆ่าเชื้อที่ถูกผสมอยู่ใน Fiat Product ที่ผมได้บอกมาตั้งแต่ข้างต้นแล้วว่า เชื้อที่ผิวมีประโยชน์มากมาย แล้วเราไปฆ่าเชื้อเหล่านี้เพื่ออะไร?

คุณเคยได้กลิ่นตัวเด็กทารกไหมครับ? ทำไมถึงหอมติดไปถึงเสื้อผ้า เรียกว่าเปิดเข้าห้องนอนไปก็ได้กลิ่นเหล่านี้ฟุ้งอยู่ ซึ่งเป็นกลิ่นที่พ่อแม่ชอบมาก ๆ แต่ทำไมเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น กลับพบว่ากลิ่นเหล่านี้เริ่มจางลงเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะเชื้อที่ผิวของเด็กเสียสมดุล

หรือแม้แต่กลิ่นที่รักแร้เมื่อโตขึ้นก็เริ่มกลายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งก็เกิดขึ้นเพราะเหตุผลเดียวกันครับ ซึ่งทำให้เราต้องเริ่มใช้แป้งโรยตัว ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำหอม เพื่อกลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ด้วยกลิ่นหอมสังเคราะห์แทน

ดังนั้นถ้าเราอยากบำรุงผิวทารกหรือกระทั่งผิวของตัวเราเองจากภายนอก หลักการคือการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับเชื้อประจำถิ่น และให้อาหารแก่เชื้อเหล่านี้ครับ สุดท้ายการบำรุงผิวของเด็กนั้นก็แค่เสริมน้ำมันจากธรรมชาติมาทาที่ผิว เช่น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เพราะเป็นธรรมชาติ และเป็นอาหารให้กับเชื้อที่ผิวด้วย ทำให้เชื้อแข็งแรงและสร้างสารที่ดีมีประโยชน์ต่อผิว โดยน้ำมันธรรมชาติเหล่านี้จะซึมสู่ผิวของเราอีกด้วย และความสำคัญอีกประการก็คือน้ำมันธรรมชาติเหล่านี้ ยังทำหน้าที่เป็นสารกันแดดโดยธรรมชาติอีกด้วย

ดังนั้นจริง ๆ แล้ว “ทารกที่โชคดีที่สุด” คือทารกที่ถูกดูแลโดยใช้เพียงแค่น้ำสะอาดที่ได้จากธรรมชาติเพื่อล้างสิ่งสกปรกจริง ๆ ที่ติดผิวมาในระหว่างวัน แล้วบำรุงด้วยน้ำมันสกัดที่มาจากธรรมชาติ เท่านั้นเองครับ

พอจะมองเห็นถึง “สายพานระบบ Fiat” ที่ได้เริ่มต้นกับตัวทารกหรือยังครับ? จาก Fiat Product ที่ 1 ชำระล้างออก, Fiat Product ที่ 2 ใส่คืน, Fiat Product ที่ 3 ใส่เพิ่ม และ Fiat Product ที่ 4 5 6 7 8 ตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้ร่างกายเราและธรรมชาติรอบตัวล้วนมีให้เรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น

When Fiat started, it continues forever.

คราวนี้ผมจะคุยเรื่องการรับอาหารของทารกกันบ้าง ส่วนใหญ่เราจะได้รับข้อมูลการรณรงค์ให้เลี้ยงทารกด้วยน้ำนมจากคุณแม่ จนถึงอย่างน้อย 1 ขวบ ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าข้อมูลนี้เป็น Fiat นะครับ เพราะจริง ๆ แล้วการให้นมทารกอย่างน้อยจนถึงอายุ 1 ขวบ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่ทำให้คุณแม่บางท่านไม่สามารถให้นมเด็กทารกได้ถึง 1 ขวบ หรือให้น้ำนมไม่ได้เลย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเราสามารถชดเชยด้วยการจัดอาหารหรือให้สารอาหารที่เหมาะสมกับทารกหรือเด็กได้ในภายหลัง

แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้ คือหลังจากที่ทารกหรือเด็กเหล่านี้เริ่ม “หย่านม” ต่างหากครับ 

เพราะเมื่อเริ่มหย่านม ทารกก็จะเข้าสู่การดูดนมจากขวด และสิ่งที่เกี่ยวข้องในที่นี้คือ “จุกนม” เราจะพบว่าในท้องตลาดจะมีจุกนมมากมายหลายแบบหลายรูปทรง แถมระบุคุณสมบัติมากมายเพื่อให้ตรงใจคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด การออกแบบมาให้เหมือนหัวนมแม่ มีรูปแบบที่ดูดง่ายหรือช่วยให้เด็กไม่เหนื่อยเวลาดูด บลา บลา บลา…

คุณรู้ไหมว่าการเลือกใช้จุกนม จะมีผลต่อชีวิตของเด็กตลอดไปเลยนะครับ

พอได้ยินแบบนี้บางคนอาจจะบอกว่า “เวอร์!!!”! ซึ่งไม่เแปลกครับเพราะสิ่งเหล่านี้บุคลากรด้านสุขภาพบางท่านก็ยังไม่ทราบ

เพราะแม้เด็กจะถูกบังคับให้เลิกดูดนมจากเต้านมของคุณแม่ แต่เขาก็ยังต้องใช้ทักษะการดูดและการกลืนนี้ไปอีกตลอดชีวิต ดังนั้นทักษะการดูดและการกลืนที่ถูกต้องจึงต้องมาจากการฝึกกับหัวนมของคุณแม่ หรือจุกนมที่มีลักษณะคล้ายกัน

การดูดนมจากคุณแม่ หรือจุกนมที่มีลักษณะคล้ายกันนั้น จะส่งผลให้เด็กต้องออกแรงในการดูดเพื่อให้น้ำนมของแม่ไหลออกมา มันจึงเป็นการฝึกให้ปอดแข็งแรง และช่วยพัฒนาการด้านการเติบโตของปอดรวมถึงในช่องปากด้วย

เมื่อเด็กดูดน้ำนมจนได้ปริมาณน้ำนมที่พอเหมาะ ก็จะเข้าสู่กระบวนการกลืน ซึ่งในส่วนนี้ถ้าไม่ใช้จุกที่คล้ายนมแม่ หรือไปใช้ขนาดรูของจุกนมใหญ่เกินไป เพราะพ่อแม่ส่วนหนึ่งเข้าใจไปเองว่าถ้าเด็กไม่ต้องใช้แรงดูดเยอะ เด็กก็จะได้กินนมเยอะ ๆ ไม่เหนื่อย ไม่หมดแรงก่อน และอิ่มเร็ว เพื่อที่คุณแม่จะได้พักผ่อนมากขึ้น ทำให้ตำแหน่งลิ้นของเด็กที่ใช้ในการกลืนจะเปลี่ยนไป จากปกติที่ลิ้นต้องแตะเพดานปากเพื่อสร้างสูญญากาศแล้วกลืน จะเปลี่ยนเป็นการเอาลิ้นไปแตะที่รูจุกนมเพื่อไม่ให้น้ำนมออกมาเพิ่ม หรือหากใช้จุกนมที่รูปร่างแปลก ก็จะยิ่งทำให้เด็กต้องวางลิ้นในการกลืนผิดตำแหน่งไป นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กที่เพิ่งหย่านมในช่วงแรก พอได้ดูดนมผ่านขวดแล้วมีการสำลัก เนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับสภาพจุกนม

และเมื่อความผิดปกติของการดูดและการกลืนนั้นกลายเป็นนิสัยติดตัว ก็จะเกิดผลลัพธ์บางอย่างตามมาเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น

เมื่อการกลืนโดยการใช้ลิ้นปิดรูจุกนม เปลี่ยนเป็นการใช้ลิ้นดันฟันหน้าแทน จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้ฟันหน้ากางและเหยินออกมา ทำให้เด็กจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบจัดฟันต่อไป แถมด้วยลักษณะดังกล่าวทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันนานขึ้น และอาจจะได้ใส่ “รีเทนเนอร์” ไปตลอดชีวิต เพราะเคยชินกับพฤติกรรมใช้ลิ้นดันฟันออกมา (ในขณะที่หมอจัดฟันพยายามจะดันฟันเข้าไป) แล้วถ้าแก้ไม่ได้จนจัดฟันเสร็จ เมื่อคุณลืมใส่รีเทนเนอร์ไปซักระยะ ก็จะพบว่าการนำรีเทนเนอร์อันเดิมกลับมาใส่นั้นทำได้ลำบาก หรืออาจจะถึงขั้นใส่ไม่ได้เลย เนื่องจากฟันโดนลิ้นดันจนเคลื่อนจากจุดเดิม โดยไม่มีรีเทนเนอร์ช่วยคุมหรือตรึงฟันเอาไว้

และการที่เด็กไม่ได้ฝึกการดูดที่มากพอ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อในช่องปากไม่แข็งแรง กระดูกขากรรไกรจะเติบโตได้ไม่ดี (อารมณ์เหมือนไม่ได้ออกกำลังกาย) จึงส่งผลให้กระดูกขากรรไกรเล็ก ในขณะที่ตัวฟันจะมีขนาดตามที่ DNA ของเขากำหนดไว้แล้วตั้งแต่แรกเกิด จึงทำให้เกิดภาวะฟันซ้อนเก และฟันคุดได้  นำไปสู่การจัดฟันที่อาจจะต้องร่วมกับการขยายขากรรไกร

นอกจากนี้เมื่อปอดไม่แข็งแรงจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการหายใจ ทำให้ต้องหายใจสั้นและถี่ จนกลายเป็นต้องหายใจทางปากร่วมกับจมูก ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพช่องปาก ลำไส้ และคุณภาพการนอน

ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มี Fiat Product รองรับเพื่อตอบสนองสิ่งที่เกิดขึ้นรออยู่ทั้งสิ้น มันเป็นระบบสายพานที่ส่งทอดต่อกันไปอย่างแนบเนียนสนิท ทั้งที่แก้ได้ง่าย ๆ ได้เลยที่ต้นน้ำ นั่นคือจุกนม!!!!

“การสร้างเด็กให้อ่อนแอนั้น เราย่อมได้ผู้ใหญ่ที่อ่อนแอด้วย”

มาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะคิดว่า “ผมเป็นคนขวางโลก คิดลบ”

แต่ที่ผมอยากสื่อก็คือเทคโนโลยีหรือ Product บางอย่างก็มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อทารก แม้ว่าจริง ๆ แล้วมันจะอยู่ในสายพานระบบ Fiat ก็ตาม เพราะบางอย่างเมื่อเรามองไปถึงต้นน้ำของสายพาน เราจะพบว่าเราไม่สามารถไปแก้ไขที่จุดนั้นได้ เช่น เรื่องมลภาวะ เป็นต้น

แต่เรื่องตัวอย่างที่ผมยกมานั้น จะเห็นว่าเราสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ต้นน้ำ

“เพียงเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก เม็ดถัดไปก็จะถูกเช่นกัน”

เมื่อมองให้ลึกถึงสายพานระบบ Fiat เราก็จะค่อย ๆ เห็นว่าสิ่งเหล่ามันมีต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หรือบางสายพานก็สามารถย้อนมาสู่ต้นน้ำใหม่ได้ด้วยนะครับ

ซึ่งในบทความ Ep.2 ผมจะมาคุยให้เห็นว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก แท้จริงแล้วควรจะเป็นอย่างไร และระบบ Fiat เข้ามาเกี่ยวกับจุดนี้ได้อย่างไร

“Nature is bad for Fiat.”

แล้วคุณล่ะครับได้เจอ “สายพานระบบ Fiat” ในชีวิตบ้างไหม?

เพราะความน่ากลัวในการดูแลสุขภาพ คือ การที่เชื่อและปฏิบัติต่อกันมาโดยไม่มีความรู้นั่นเองครับ

สำหรับท่านใดที่สนใจเนื้อหาการดูแลสุขภาพในแบบ วิถี IFF วิถีแห่งธรรมชาติตามหลักวิทยาศาสตร์ (ไม่ Fiat) สามารถติดตามได้สองช่องทางหลัก คือ ทาง FB Page “หมออ้วนในดงลดน้ำหนัก”

และทาง youtube Channel “ Fastingfatdentist”

หรือช่องทางรวมที่ https://linktr.ee/fastingfatdentist

fastingfatdentist

** ทุกบาทหรือทุกซาโตชิที่ donate จะถูกส่งเข้ากระเป๋าของผู้เขียนโดยตรงครับ :) **

Share this post

3 Comments

  1. มีปรมากๆๆเลยอยากให้คนที่มีลูกหรือคนที่กำลังจะมีอ่าน

    • มีประโยชน์มากๆๆๆเลยอยากให้คนมีลูกและกำลังจะมีอ่าน

Leave a Reply

Connect with

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Related Posts

Bitcoin Adoption
fastingfatdentist

บิตคอยน์สามารถปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยได้อย่างไร?

ทำไมหากผู้ให้บริการด้านการแพทย์นำบิตคอยน์มาใช้ ผู้ป่วยจะได้เห็นระบบตลาดเสรีและสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ดียิ่งขึ้น? หาคำตอบได้ในบทความนี้ครับ

Read More »
Fiat
fastingfatdentist

Behind FIAT Curtain Ep.0 : Fiat อยู่รอบตัวเรา

“วิธีที่ดีที่สุดในการไม่ให้นักโทษหนี คือ ทำให้นักโทษ แน่ใจว่า เขาไม่ได้อยู่ในคุก”
“The best way to keep a prisoner from escaping is to make sure he never knows he is in a prison.”
Fyodor Dostoyevsky

Read More »