เมื่อบทที่แล้ว ผมชวนคุยให้ทุกท่านได้เห็นภาพจากจุดเริ่มต้นการกำเนิดของชีวิต ตั้งแต่แรกคลอดจนถึงวัยเริ่มหย่านม แต่จริง ๆ แล้วในระหว่างช่วงเวลานั้นยังมี Fiat อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรา ชนิดที่สามารถเขียนเป็นหนังสือขนาดย่อม ๆ ได้เล่มนึงเลยทีเดียว ซึ่งผมขอยกตัวอย่าง Fiat บางประเด็นมาให้คุณเห็นภาพแล้วลองวิเคราะห์ต่อกันดูนะครับ และผมย้ำอีกครั้งว่าระบบ Fiat เป็นสีเทา ไม่มีขาว ไม่มีดำ มันมีคนได้ประโยชน์และมีคนเสียประโยชน์จากระบบนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจและปรับตัวอย่างไรต่อระบบ Fiat นั้น ๆ
เอาล่ะครับ ทีนี้..เมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้นจนถึงวัยเริ่มหย่านม สิ่งต่อไปที่เขาจะเริ่มทำคือการก้าวเดินไปสู่โลกกว้าง ดังนั้นบทนี้ผมจะพาพวกเราเดินออกจากบ้านเพื่อพาเด็กน้อยไปสู่ธรรมชาติข้างนอก แต่งตัวแล้วเปิดประตูออกไปด้วยกันเลยครับ
เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แสงแดด ก็สาดส่องมากระทบผิวเด็กน้อยโดยตรงทันที ต่างจากที่ปกติเขาจะได้รับแสงเหล่านี้ผ่านกระจกหรือผ้าม่านเมื่ออยู่ในบ้าน แต่สิ่งแรกที่หลายครอบครัวรีบทำคือการกางร่มหรือทำให้เด็กสัมผัสกับแสงแดดให้น้อยที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วผมได้เขียนถึงเรื่องแสงแดดไปบ้างแล้วใน บทนำ Ep.0 ที่เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง เนื้อหาอาจจะฟังดูไกลตัวไปสักหน่อย งั้นเรามาบีบวงข้อมูลให้แคบลงเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ
ประโยชน์ของ แสงแดด พลังงานที่ไม่สิ้นสุดและฟรี
แสงแดด อยู่คู่กับสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้มาตั้งแต่โบราณกาล ต้นไม้จะมอบอากาศที่ดีให้เราได้ก็ต้องใช้แสงแดดเพื่อผลิตออกซิเจน รวมถึงสร้างสารอาหารต่าง ๆ แม้กระทั่งสัตว์ก็ต้องใช้แสงแดดในการดำรงชีวิตและผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย แสงแดดทำให้อากาศรอบตัวเราอบอุ่น (แม้อาจจะร้อนตับแตกบ้างบางที) แสงแดดมอบแสงสว่างให้เราสามารถออกมาทำงานและหาอาหารได้ง่าย แสงแดดทำให้เรารู้ถึงกาลเวลาและฤดูกาลต่าง ๆ และยังมีประโยชน์อีกหลายประการ
ทีนี้เมื่อมองย้อนมาที่เด็กน้อยของเรา สิ่งที่เขาจะได้รับจากแสงแดดนั้นมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพดังต่อไปนี้ครับ
แสงแดด ช่วยในกระบวนการตื่น และการนอนหลับของร่างกาย
เมื่อดวงตาของเขาได้สัมผัสแสงแรกของวัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) และฮอร์โมนต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการตื่นนอนและกระตุ้นให้ร่างกายพร้อมทำงาน ฮอร์โมนเหล่านี้จะสะสมไปเรื่อย ๆ ในระหว่างวัน โดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายได้รับแสงแดด และเมื่อดวงตารับรู้ถึงแสงแดดที่ลดลงในยามเย็น ร่างกายจะปรับโหมดเข้าสู่การเตรียมเข้านอน ฮอร์โมนเซโรโทนินที่สะสมในตอนกลางวันจะเริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนใช้กินเวลานอนไม่หลับ ซึ่งจริง ๆ ฮอร์โมนตัวนี้มีหน้าที่บอกร่างกายของเราให้เตรียมพร้อมเข้าสู่การนอนหลับ ไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เรานอนหลับนะครับ เพราะการนอนหลับต้องใช้ปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สภาพแวดล้อมของสถานที่นอน หรือแสงในห้องนอน เป็นต้น
ดังนั้นถ้าเด็กได้รับแสงแดดน้อย ระดับเซโรโทนินก็จะสะสมได้น้อย ทำให้ร่างกายตื่นตัวไม่เต็มที่ และพอใกล้เวลานอน ระดับเมลาโทนินก็จะน้อย ทำให้นอนหลับยากตามไปด้วยนั่นเองครับ
แสงแดด มีส่วนกับอารมณ์ และสมองของเด็ก
สืบเนื่องจากเรื่องนอนหลับ มีคำแนะนำที่ว่า “เด็กที่นอนหลับได้ดี อารมณ์จะดี และเมื่ออารมณ์ดี พัฒนาการทางสมองก็จะดีด้วย” เพราะนอกจากแสงแดดจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ช่วยเรื่องการนอนหลับแล้ว ยังช่วยสร้างฮอร์โมนแห่งความสุขด้วย อาทิ โดปามีน (Dopamine) ออกซิโทซิน (Oxytocin) เอ็นโดรฟิน (Endorphins) รวมทั้งเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งล้วนเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งไนตริกออกไซด์ (NO หรือ Nitric Oxide) และโกรทฮอร์โมน (HGH หรือ Human Growth Hormone) ก็มีในการช่วยเรื่องพัฒนาการเติบโตของสมองทั้งสิ้น
วิตามิน D3
วิตามิน D3 คือรูปวิตามิน D ที่ดีที่สุดที่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ในทันที ซึ่งหาได้จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีไขมัน และจากการรับแสงแดด ซึ่งร่างกายของเด็กสามารถผลิตได้เองโดยใช้ไขมันในร่างกายทำปฎิกิริยากับแสงแดดที่ผิวหนัง
วิตามิน D3 มีส่วนช่วยหลาย ๆ เรื่องในร่างกาย ตั้งแต่การมีผิวพรรณที่ดี สุขภาพที่ดี ไปจนถึงพัฒนาการของสมอง กระดูก และการทำงานของอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย และถ้าจะพูดให้ลึกอีกนิด ก็จะรวมถึงการปรับสมดุลเชื้อทั้งหมดในร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันเลยทีเดียว ซึ่งการที่เด็กได้รับแสงแดดโดยตรงเพียงวันละครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอต่อร่างกายของเขาแล้ว
ตามตัวอย่างที่ผมได้ลองยกมา คุณพอจะเห็นไหมครับว่าแสงแดดดีต่อเด็กขนาดไหน แต่เรากลับถูกปลูกฝังความเชื่อที่ว่าแสงแดดจะทำร้ายผิวเด็ก จนพ่อแม่ก็กลัวจนต้องไปใช้ผลิตภัณฑ์ Fiat Products ประเภทโลชั่นผสมสารกันแดด หรือแม้แต่ใช้สารกันแดดโดยตรงกับผิวเด็ก เพราะเชื่อว่าแสงแดดหรือรังสี UV ที่เราถูกทำให้กลัวนั้นจะถูกสารกันแดดป้องกันเอาไว้ แล้วเหลือสารดี ๆ เข้าสู่ผิวของเด็ก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเลยครับ
“เพราะจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ จากแสงแดด คือรังสี UV ครับ”
ดังนั้นถ้าเราอยากให้เด็ก ๆ ของเราได้รับประโยชน์จากแสงแดด ก็ควรให้ผิวที่บอบบางของเขาได้สัมผัสแสงแดดโดยตรงให้มากที่สุดครับ เพราะกระจกในบ้านและเสื้อผ้าบางชนิดจะลดประโยชน์ของแสงแดด ในขณะที่สารกันแดดจะทำให้เราแทบไม่ได้รับอะไรจากแสงแดดเลย เพราะร่างกายจะไม่ได้รับรังสี UVA ซึ่งมีช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์ไนตริกออกไซด์ (NO หรือ Nitric Oxide) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์มาก ๆ ต่อร่างกายโดยรวม และสารกันแดดยังทำให้ร่างกายไม่ได้รับรังสี UVB ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามิน D3 ซึ่งส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้แว่นกันแดดยังทำให้ระบบการรับรู้ตามแสงแดด (ที่เราเรียกว่า “นาฬิกาชีวิต” หรือ Circadian Rhythm) ก็เกิดความผิดเพี้ยนไปอีก
คุณเคยสังเกตไหมครับว่าสัญชาตญาณของเด็ก ๆ นั้นจะชอบเข้าหาแสงแดดเสมอ ชอบวิ่งไปรับแดด และชอบเล่นกลางแดด เพราะมันคือสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดทางธรรมชาติส่งผ่านมาใน DNA ของมนุษย์ แต่เรามักจะห้ามปรามหรือดุด่าต่อว่าเด็ก ๆ ไม่ให้ทำตามสัญชาตญาณของเขา ทั้ง ๆ ที่มันคือธรรมชาติของชีวิต ธรรมชาติของร่างกาย แต่เรากลับพยายามฝืนธรรมชาติด้วยการหยุดยั้งพฤติกรรมเหล่านี้
นี่ยังไม่รวมที่ผมพูดในบทนำถึงเรื่องสารกันแดด และบทที่ 1 เรื่อง Fiat Product ว่ามันนำสิ่งใดมาสู่ร่างกายเราบ้าง มันทำให้ฉุกคิดได้ว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่? ทำไมธรรมชาติร่างกายมนุษย์นั้นต้องการได้รับสิ่งดี ๆ จากแสงแดด แต่พวกเราในปัจจุบันกลับทำให้ร่างกายไม่ได้รับสิ่งดี ๆ เหล่านั้น
เมื่อพูดเรื่องแสงแดดแล้ว ก็ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเมื่อเราพาเด็ก ๆ ออกมาข้างนอกบ้านแล้ว ทุกการก้าวเดินของเขาและทุกกิจกรรมที่พ่อแม่เล่นกับเขานั้น คุณคิดว่าเขาได้สัมผัสกับธรรมชาติจริง ๆ ไหมครับ?
ถ้าได้สัมผัส.. เขาได้สัมผัสแค่ไหน?
จากข้างต้นที่ผมแนะนำว่าควรให้เด็กได้สัมผัสแสงแดดให้มากที่สุด โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดผิวให้มากที่สุด (แต่ก็ต้องตามกาลเทศะด้วยนะครับ) ทีนี้เรื่องถัดมาที่ผมจะชวนคุยคือ “พื้นดิน” ครับ
ประโยชน์จาก พื้นดิน สิ่งให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง
ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดครับ “พื้นดิน” หรือ “พื้นโลก” ของเรานี่แหละครับ ซึ่งก่อนอื่นควรทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราสื่อสารกันด้วย 2 ระบบคือ ระบบฮอร์โมน และ ระบบประสาท
ระบบฮอร์โมน คือ การส่งสารเคมีเพื่อสื่อสารกันระหว่างเซลล์ผ่านเลือดหรือน้ำเหลือง ในขณะที่ ระบบประสาท คือ การสร้างกระแสประสาทหรือไฟฟ้าเพื่อส่งสัญญาณสื่อสารกันผ่านโครงข่ายเส้นประสาท
ที่นี้ผมเชื่อว่าหลายคนเริ่มส่งสัญญาณสงสัยแล้วว่าเรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไรกับพื้นโลก ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นแบบนี้ครับ เวลาเราติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด (เช่น เครื่องทำน้ำร้อน) เราต้องติดตั้ง “สายดิน” เพื่อความปลอดภัย ร่างกายของเราก็เช่นกันครับ เพราะในกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะการย่อยอาหาร การหายใจ การสร้างพลังงาน การสร้างฮอร์โมน และการรับสัมผัสต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีการผลิตประจุไฟฟ้าเกิดขึ้น
ประจุไฟฟ้านี้เกี่ยวข้องกับระบบประสาทล้วน ๆ เลยครับ
เมื่อมีการผลิตประจุไฟฟ้าก็ย่อมต้องมีการระบายออก ถ้าไม่ระบายออกจะเกิดอะไรขึ้น? คุณเคยไหมครับที่เราไปสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะของรถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ต ราวบันไดในห้างสรรพสินค้า หรือแม้สัมผัสผิวคนข้าง ๆ แล้วรู้สึกช็อต “ตู้ม!!!!!” 5555 นั่นแหละครับมันแปลว่าตัวคุณหรือสิ่งที่คุณไปสัมผัสมีประจุไฟฟ้าเกินอยู่ แล้วมันพยายามระบายออกมา
ทีนี้ร่างกายเราระบายประจุไฟฟ้านี้ออกได้อย่างไร คำตอบก็คือทางผิวหนังของเรา โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้าที่พร้อมทำหน้าที่เป็น “สายดิน” เพื่อระบายประจุไฟฟ้าลงสู่พื้นโลกตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้เรากลับไม่ยอมใช้ “สายดิน” นั้นเท่าที่ควร เพราะเราสวมฉนวนกันประจุเกือบตลอดเวลา
ใช่แล้วครับ “รองเท้า” นั่นเอง
รองเท้าที่เราสวมใส่เกือบตลอดเวลาเมื่อไม่อยู่ในบ้าน หรือบางคนอยู่ในบ้านก็ใส่รองเท้าด้วย แล้วเราก็ใช้พฤติกรรมเหล่านี้กับเด็กน้อยด้วยเช่นกัน เพราะเหตุผลความเชื่อทาง Fiat มากมายที่ทำให้เราคิดว่าต้องใส่รองเท้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี แต่แท้จริงมันกลับกำลังทำร้ายเราและเด็ก ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การที่ไม่ได้ถ่ายประจุ (Grounding หรือ Earthing) การที่เกิดภาวะเท้าแบน (Flat Foot) และยังสามารถโยงไปได้ถึงการเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ได้เลยทีเดียว
แต่ก่อนจะไปไกลกว่านั้น เรากลับมาเรื่องพื้นดินกับการถ่ายประจุกันต่อ (โอกาสหน้าผมจะมาขยายเรื่องเหล่านี้ในบทต่อ ๆ ไปนะครับ)
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้บางคนอาจจะเริ่มมองว่าผมเอาอะไรมาพูด? ผมพาออกนอกโลกอีกแล้วใช่ไหม? ผมขออนุญาตยกตัวอย่างง่าย ๆ แบบนี้ครับ คุณน่าจะรู้จัก “หยก” หยกเป็นหินธรรมชาติที่เราเรียกว่าหินธาตุเย็น คือเมื่อแตะแล้วเราจะสัมผัสได้ถึงความเย็นของหยก เพราะคุณสมบัติของหยกคือการรวบรวมประจุจากพื้นดินมาเก็บไว้ในตัวเองจำนวนมากนั่นเอง คนโบราณโดยเฉพาะชาวจีนจะแนะนำให้มีหยกติดตัว ไม่ว่าจะเป็นแหวน สร้อยคอ เครื่องประดับต่าง ๆ รวมถึงสิ่งใด ๆ ที่ร่างกายจะได้สัมผัสกับหยกโดยตรง เช่น เตียงนอนหรือเครื่องนอนต่าง ๆ
เมื่อเราไม่สบาย ร่างกายเราจะร้อนขึ้น นั่นหมายถึงประจุในร่างกายที่เสียสมดุลด้วย แพทย์บางตำราจะแนะนำให้เอาหยกมาแนบตัว ซึ่งพบว่าร่างกายจะค่อย ๆ ดีขึ้น อาการตัวร้อนบรรเทาลง และอาการป่วยต่าง ๆ ก็ดีขึ้น เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนประจุกันระหว่างร่างกายกับตัวหยก
ถ้าคุณมีหยกติดตัว คุณจะพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป หยกจะค่อย ๆ หมองและไม่แสดงคุณสมบัติหินธาตุเย็นแล้ว สิ่งนี้เกิดจากการถ่ายประจุกับร่างกายเราจนหยกเสื่อมสภาพนั่นเอง แต่ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้น (หรือเกิดขึ้นช้า) กับหยกที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สัมผัสกับพื้นโลก เพราะจะมีการถ่ายประจุจากร่างกายเราผ่านหยกและผ่านไปสู่พื้นโลกต่อทันทีเพื่อเคลียร์ประจุตามธรรมชาติ
และเพื่อให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นในกรณีของเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งที่สัมผัสพื้นโลกก็คือ ”หินอ่อน” นั่นเอง เราจะสังเกตว่าพื้นบ้านที่ปูหินอ่อนจะเย็นสบายถึงขั้นนอนบนพื้นได้เลยทีเดียว เพราะมีหลักการเดียวกันกับหยก แต่หยกมักอยู่ในรูปของเครื่องประดับ จึงไม่ค่อยได้ถ่ายประจุลงสู่พื้นโลกจนทำให้มันค่อย ๆ หมดสภาพไป ต่างจากหินอ่อนที่การใช้งานมักสัมผัสกับพื้นโลกมากกว่า
ภูมิปัญญานี้มีมาแต่โบราณ โดยทางเอเชียจะเน้นหยก ในขณะที่ทางยุโรปจะเน้นหินอ่อน แต่ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณลงทุนซื้อหยกหรือซื้อหินอ่อนนะครับ เพราะวันนี้แค่เดินเท้าเปล่าให้ร่างกายได้สัมผัสกับพื้นโลกโดยตรงก็เป็นการปรับสมดุลประจุในร่างกายแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีนะครับ
มาถึงตรงนี้ ผมได้ยกตัวอย่างใหญ่ ๆ มา 2 สิ่งแล้วคือ แสงแดด และ พื้นดิน ซึ่งที่จริงยังมีอีกหลายตัวอย่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา เช่น น้ำและต้นไม้ที่อยู่รอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา แถมไม่ต้องลงทุนเสียเงินเพิ่ม เพียงลงทุนด้วยเวลาและความเข้าใจ เราก็จะออกจากระบบสายพาน Fiat บางสายที่ทำให้เราสุขภาพแย่ได้แล้วครับ
และก่อนที่จะจบบทนี้ ผมนึกถึงเรื่องนึงที่แทบจะครอบคลุมตัวอย่างที่ผมยกมา รวมทั้งครอบคลุมธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีผลต่อร่างกายนั้น เรื่องนั้นก็คือ “Hygiene Hypothesis”
Hygiene Hypothesis หรือ สมมติฐานด้านสุขอนามัย
สมมติฐานที่ว่าด้วยการที่ “เราอนามัยมากเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนแอ” ซึ่งผมจะชอบยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างลูกเจ้าของที่ดินกับลูกคนงานก่อสร้าง
เราจะพบว่าลูกคนงานนั้นจะอยู่กลางดินกินกลางทราย วิ่งเล่นไปมาในแคมป์คนงานก่อสร้าง โดนฝุ่น โดนแดด ไม่ใส่รองเท้า และร่างกายสัมผัสกับสิ่งที่เราถูกทำให้เชื่อว่า “สกปรก” เต็มไปหมด ในขณะที่ลูกเจ้าของที่ดินนั้นอยู่ในห้องแอร์ มีเครื่องฟอกอากาศ ไม่ค่อยโดนฝุ่นโดนแดด เดินไปไหนก็ใส่รองเท้าตลอด สิ่งที่เรามองว่า ”สกปรก” นั้นแทบไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสร่างกายเขาเลย
คุณคิดว่าเด็กคนไหนแข็งแรงกว่ากันครับ?
เราอาจคิดว่าน่าจะเป็นลูกเจ้าของที่ดิน แต่เมื่อลองมาคิดต่อ.. พอเข้าหน้าฝนหรือหน้าหนาวทุกครั้ง เราจะพบว่าเด็กลูกเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะต่อคิวกันพ่นยาที่สถานพยาบาลต่าง ๆ เพราะหายใจไม่ออก มีอาการหอบหืด หรือถ้ามีเงินก็ซื้อเครื่องไปใช้เองที่บ้าน นี่คืออาการป่วยที่เรามักเรียกว่า “แพ้อากาศ” ในขณะที่เด็กลูกคนงานกลับมีน้อยคนมากที่จะมีอาการแบบนี้ เด็ก ๆ เหล่านี้กลับแข็งแรงและไม่ค่อยป่วยเท่าไหร่
พอสังเกตเห็นอะไรบางอย่างไหมครับ? นี่แหละที่เราเรียกว่า Hygiene Hypothesis หรืออนามัยเกินไปจนร่างกายไม่สร้างภูมิพื้นฐาน
เพราะในธรรมชาติมีตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันพื้นฐานให้กับร่างกายจำนวนมาก เหมือนเป็นวัคซีนที่ถูกฉีดโดยธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์จะถูกฝังผ่าน DNA หรือสัญชาตญาณให้ไปสัมผัสสิ่งเหล่านี้ แต่ด้วยระบบสายพาน Fiat ทำให้เราไม่ได้รับวัคซีนที่ราคาถูกและปลอดภัยจากธรรมชาติเหล่านี้มากพอ ซึ่งเราจะมาคุยกันอย่างละเอียดในประเด็นนี้ในบทถัดไปเรื่อง “Instinct VS. Fiat”
#ความน่ากลัวในการดูแลสุขภาพคือการที่เชื่อและปฏิบัติโดยไม่มีความรู้
สำหรับท่านใดที่สนใจเนื้อหาการดูแลสุขภาพในแบบ วิถี IFF วิถีแห่งธรรมชาติตามหลักวิทยาศาสตร์ (ไม่ Fiat) สามารถติดตามได้สองช่องทางหลัก คือ ทาง FB Page “หมออ้วนในดงลดน้ำหนัก”
และทาง youtube Channel “ Fastingfatdentist”
หรือช่องทางรวมที่ https://linktr.ee/fastingfatdentist