หลายคนสงสัยว่าบิตคอยน์คืออะไรกันแน่? และถ้าบิตคอยน์จะเป็นสัตว์สักตัวหนึ่ง มันก็คงเป็นตัวฮันนี่แบดเจอร์ สัตว์ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความแข็งแกร่ง ความอึดตายยาก และความสมบุกสมบันไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เป็นที่รู้กันดีว่าตัวฮันนี่แบดเจอร์ที่กำลังหงุดหงิดนั้นพร้อมจะลุยใส่ฝูงไฮยีน่า หรือแม้แต่ฝูงสิงโต
ส่วนเรื่องการโดนผึ้งต่อย งูกัด หรือขนเม่นแทงนั้นบอกได้เลยว่าแทบไม่ระคายผิวมัน
โรเจอร์ เวอร์ (Roger Ver) หนึ่งในผู้สนับสนุนบิตคอยน์คนแรก ๆ เคยควักกระเป๋าเดือนละ 1,500 ดอลลาร์เช่าบิลบอร์ดริมทางด่วนซานตา คลาราส์ ลอว์เรนซ์เพื่อแปะโฆษณาฮันนี่แบดเจอร์บิตคอยน์พร้อมคำโปรยว่า “ตัวฮันนี่แบดเจอร์แห่งเงิน” (The Honey Badger of Money)
ว่าแต่ฮันนี่แบดเจอร์เกี่ยวอะไรกับบิตคอยน์?
สัตว์ตัวนี้เกี่ยวอะไรกับเงินดิจิทัลที่อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต?
ย้อนกลับไปช่วงขวบปีแรก ๆ ของบิตคอยน์ มีนักขุด (miner) จำนวนหนึ่งพยายามทำ 51% attack เพื่อโจมตีและยึดครองเครือข่ายบล็อกเชนของบิตคอยน์ แต่ไม่มีใครเคยทำสำเร็จ ไหนจะมีรัฐบาลที่พยายามจะแบนมัน รวมทั้งนักลงทุนในวอลล์สตรีตอย่างปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ตราหน้ามันว่าเป็นยาเบื่อหนู (rat poison) แต่บิตคอยน์ก็ยังอยู่ยั้งยืนยงคงทนต่อการถูกรุมแฮ็กเพื่อกดมูลค่าตลาดของมัน ไม่ต่างไปจากฮันนี่แบดเจอร์ที่ไม่สะท้านสะเทือนเวลาเจอผึ้ง งูพิษ หรือแม้กระทั่งสิงโต
และในดินแดนของโลกคริปโทเคอร์เรนซี บิตคอยน์คล้ายกับเจ้าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน้ำหนัก 35 ปอนด์ชนิดนี้มาก เพราะมันทนทานต่อทุกสิ่งที่ดาหน้าเข้ามาปะทะ รวมทั้งข่าว FUD (fear, uncertainty, and doubt) ที่โจมตีมันอย่างต่อเนื่อง จนบิตคอยน์ได้ฉายาว่าเป็น “ฮันนี่แบดเจอร์แห่งเงิน” เหล่าบิตคอยเนอร์ในยุคเริ่มแรกเองก็คุ้นเคยกับ meme ฮันนี่แบดเจอร์นี้เป็นอย่างดี และเข้าใจบิตคอยน์ด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าอุปทานของบิตคอยน์และเครือข่ายของมันนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและไม่มีใครมาแทรกแซงได้
ส่วนบิตคอยเนอร์ที่ยังใหม่สำหรับวงการนี้ แนวคิดข้างต้นอาจจะทำให้คุณมึนตึ้บ งั้นเรามาดู 6 เหตุผลที่จะอธิบายว่าทำไมฮันนี่แบดเจอร์ถึงเป็นสัตว์ที่เป็นตัวแทนของบิตคอยน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ :
1. บิตคอยน์คือสกุลเงินที่ไม่เกรงกลัวใคร
นอกจากคุณสมบัติหลายประการของบิตคอยน์ สิ่งหนึ่งที่สำคัญของมันคือการเสนอวิธีใหม่ในการแก้ปัญหา Byzantine Generals Problem (ปัญหาการสื่อสารระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์) บิตคอยน์นั้นเป็นเทคโนโลยีที่จะมา disrupt สิ่งเดิมที่คร่ำครึ ตัวเครือข่ายและผู้สนับสนุนบิตคอยน์ก็ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้นในการช่วยกันผลักดันให้บิตคอยน์กลายเป็นสกุลเงินหมายเลขหนึ่งของโลกให้ได้
และบิตคอยน์ยังคล้ายกับฮันนี่แบดเจอร์ตรงที่มันกล้าท้าชนกับธนาคารกลางและสินทรัพย์รักษาความมั่งคั่งแบบเก่าที่ทำหน้าที่เป็น store of value มายาวนานอย่างเช่นทองคำและหุ้นของบริษัทต่าง ๆ บิตคอยน์จะไม่ยอมถอยให้กับอะไรที่จะมาหยุดยั้งมัน บิตคอยน์ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับรัฐบาลไหน มันจะทำให้กฎหมายการควบคุมสกุลเงินกลายเป็นหมัน และมันจะทำให้ธนาคารที่ไม่ใช้บิตคอยน์เป็นหลักค้ำประกันเงินทุนสำรองของตัวเองค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปจนหมดในอนาคต
2. บิตคอยน์ไปได้ทุกที่ทั่วโลก
นึกถึงอินเทอร์เน็ตที่ทำให้โลกมีโครงข่ายสำหรับส่งข้อมูลถึงกันได้ทุกที่ บิตคอยน์ก็คืออีกเลเยอร์หนึ่งของอินเทอร์เน็ตที่มอบอำนาจให้ผู้คนนับพันล้านคนสามารถเป็นธนาคารให้ตัวเองและดูแลรักษาความมั่งคั่งของตนได้เอง บิตคอยน์นั้นสามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ที่มีการควบคุมดูแล เพราะมันมีโหนดมากมายที่ไม่ขึ้นกับใครในการช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับทุกธุรกรรม ซึ่งจะทำให้ธนาคารนั้นแทบหมดความหมายเพราะผู้ใช้งานบิตคอยน์ทุกคนสามารถส่งเงินของตัวเองได้ด้วยตัวเอง
3. ธุรกรรมของบิตคอยน์นั้นโคตรเร็ว
ธุรกรรมของบิตคอยน์นั้นใช้เวลาประมาณ 10-60 นาทีในการรับส่งกันจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อคุณพูดถึงการส่งเงินจำนวนมหาศาลข้ามโลก เวลาแค่นี้คือโคตรเร็ว
แต่พวกต่อต้านบิตคอยน์หรือพวกชิตคอยน์จะอ้างว่าบิตคอยน์นั้นชักช้ายืดยาด และจะมีคริปโทฯ ตัวใหม่ที่ทำธุรกรรมไวกว่าบิตคอยน์มาแทนที่มันแน่ ๆ แต่ความเชื่อที่ว่าธุรกรรมของบิตคอยน์อืดอาดนั้นไม่มีมูลความจริงเลยถ้าคุณมองภาพกว้างแล้วพิจารณาดูว่าการโอนเงินจากระบบธนาคารแบบเดิมกินเวลาแค่ไหน และสำหรับบิตคอยน์แล้ว ความช้าแต่ชัวร์จะทำให้มันชนะในการแข่งขันนี้ เพราะเรื่องสำคัญคือเรื่องของประสิทธิผลในการทำธุรกรรม และเมื่อบวกกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ของบิตคอยน์ที่กำลังจะเกิดขึ้น การทำธุรกรรมที่เร็วยิ่งขึ้นก็จะตามมาในไม่ช้านี้
จากข้อมูลของ Divvy Pay ซึ่งเป็นบรรษัทผู้ให้บริการบัตรเดรดิตที่มีชื่อเสียงระบุว่า “การโอนเงินระหว่างประเทศด้วยวิธี wire transfer อาจใช้เวลา 1-5 วัน ในขณะที่การโอนเงินแบบ ACH transfer และการโอนเงินวิธีอื่น ๆ จะใช้เวลา 2-3 วัน”
ซึ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน เวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตายได้ แต่บิตคอยน์สามารถส่งเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ในเวลาเพียง 5-10 นาทีด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (ตามความเร็วของเครือข่ายในเวลานั้น) และนอกจากนี้ยังมีไลท์นิ่งเน็ตเวิร์กซึ่งเป็นเลเยอร์ 2 ของบิตคอยน์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดที่จะช่วยให้การทำธุรกรรมของบิตคอยน์ยิ่งเร็วขึ้นไปอีก เร็วมาก โคตรเร็ว
ในตอนนี้ (ปี 2021) ไลท์นิ่งมีจำนวนธุรกรรมสูงสุดถึง 25 ล้านธุรกรรมต่อวินาที (ซึ่งธุรกรรม on chain ของบิตคอยน์ทำได้ประมาณ 7 ธุรกรรมต่อวินาที) ซึ่งพอนำมาใช้งานร่วมกับ Taproot ยิ่งทำให้คาดว่าความเร็วในการทำธุรกรรมจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อเครือข่ายบิตคอยน์เติบโตในอนาคต
4. บิตคอยน์ไม่สนพรมแดน
บิตคอยน์อนุญาตให้คุณใช้ชีวิตและทำงานรับเงินค่าจ้างจากที่ไหนก็ได้อย่างที่ต้องการ เพราะการห้ามเคลื่อนย้ายเงินข้ามพรมแดนนั้นเป็นความกระเสือกกระสนครั้งสุดท้ายของรัฐชาติที่กำลังจะตาย ทุกวันนี้ผู้คนสามารถข้ามพรมแดนระหว่างประเทศได้แล้วผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งบิตคอยน์เองก็ไม่สนใจเส้นแบ่งเขตแดนและสามารถเคลื่อนย้ายอย่างเสรีจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง เส้นเขตแดนนี้อาจไปไกลถึงพื้นที่นอกโลกด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว! บิตคอยน์และการท่องอวกาศจะกลายเป็นความจริงในอนาคตแน่ ๆ ถ้าตัวมันเองประสบความสำเร็จ
ศูนย์กลางการแฮชของบิตคอยน์จะอยู่ที่ไหนก็ได้นอกดาวโลก มันอาจจะอยู่รอบจักรวาลนี้เลยก็ได้ เพราะโหนดของบิตคอยน์จะทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้แม้แต่บนอาณานิคมนอกโลก ซึ่งคุณ Dhruv Bansal ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Unchained Capital เคยเขียนบทความสุดวิเศษเรื่องการขุดบิตคอยน์บนดาวดวงอื่นในบทความชุด “Bitcoin Astronomy” เอาไว้
ในบทความนั้นเขาเสนอแนวความคิดไปไกลถึงขั้นว่าจะมีสงครามแฮชของบล็อกเชนแบบไฮบริดที่เรียกว่า timechain ระหว่างดาวโลกและดาวอังคาร ซึ่งอนาคตของดาวโลกจะเปลี่ยนไปเป็นดาวที่ใช้งานบิตคอยน์แบบเต็มรูปแบบ และเชื่อว่าเจ้าตัวฮันนี่แบดเจอร์เองก็เตรียมตะลุยอวกาศในไม่ช้านี้ ฟังดูไซไฟเหลือเกินสินะ ก็แค่ไอเดียมัน ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจริงก็ได้
5. บิตคอยน์มีการเข้ารหัสอย่างปลอดภัย ใครก็หยุดมันไม่ได้
ทองคำคือเงินที่คุณพิมพ์ขึ้นมาจากอากาศไม่ได้ บิตคอยน์คือเงินที่คุณฉ้อฉลระบบมันไม่ได้ ทุกธุรกรรมนั้นประกาศต่อสาธารณะบนบล็อกเชน และกระบวนการเข้ารหัสก็ทำให้บิตคอยน์มีความปลอดภัยสูงมาก ๆ
Bitcoin Core คือโปรแกรมที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ และความแข็งแกร่งของ Bitcoin Core คือมันทำการเข้ารหัสวอลเล็ทด้วยวิธีที่เรียกว่า Advanced Encryption Standard (AES) ซึ่งเป็นอัลกอริธึ่มเดียวกับที่ NSA (สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ) ใช้สำหรับเก็บข้อมูลลับสุดยอด โดย AES นั้นได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยสูงมาก ทำให้ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งบิตคอยน์ได้เพราะพื้นฐานของการเข้ารหัสของมันนั้นมีปลอดภัยและจะไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงมันได้
6. บิตคอยน์ไม่แคร์อะไร!
รัฐบาลอยากเก็บภาษีบิตคอยน์ แล้วคุณคิดว่าบิตคอยน์แคร์มั้ย?
ใครที่ยังสติดีและเข้าใจสินทรัพย์ดิจิทัลตัวนี้คงเห็นตรงกันว่าบิตคอยน์ไม่แคร์ มันไม่สนใจอะไรและจะทำในสิ่งที่มันอยากทำ ซึ่งในอาณาจักรของสัตว์นั้น ตัวฮันนี่แบดเจอร์เองก็พร้อมจะทำทุกอย่างที่มันอยากทำ ความเหมือนกันของฮันนี่แบดเจอร์และบิตคอยน์นั้นตรงกันอย่างน่าฉงน และบิตคอยน์ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเพราะมันเป็นเพียงเทคโนโลยีที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการทำธุรกรรมแบบ peer to peer แต่ผู้คนที่เชื่อมั่นในบิตคอยน์นั้นกลับมีอารมณ์ร่วมเต็มเปี่ยม
บิตคอยน์ไม่มี CEO หรือสำนักงานใหญ่ให้ม็อบไหนมาประท้วงหน้าตึก มันไม่มีใครให้ชี้นิ้วด่าถ้ามันสำเร็จหรือล้มเหลว ซึ่งถ้ามันล้มเหลวขึ้นมาจริง ๆ (ในทางทฤษฎี) ก็แปลว่าพวกเราทุกคนนั้นล้มเหลว เพราะบิตคอยน์นั้นทำงานอยู่บนระบบฉันทามติ มันมีความเห็นแก่เวลา (time-preference) เป็นของตัวเอง และจะค่อย ๆ ทำลายมูลค่าของ store of value ดั้งเดิมให้เบนเข้าหามาตรฐานบิตคอยน์ ตัวมันเองอยู่เหนือข้อจำกัดของสินทรัพย์ที่จับต้องได้แบบเดิมและแนวความคิดทางสังคมที่เชื่อต่อ ๆ กันมา
บิตคอยน์ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น มันแค่เป็นตัวของมัน ก็เท่านั้น
เรียบเรียงจากต้นฉบับ : https://bitcoinmagazine.com/culture/why-bitcoin-is-called-honey-badger เผยแพร่ครั้งแรกที่ : https://ljungdurst.wordpress.com