ทาลิ (Tali) ภรรยาของฉัน (ผู้เขียน) และตัวฉันเองเพิ่งนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับบิตคอยน์เพื่อใช้ในการศึกษาให้กับบรรดาชาวโฮมสคูล (Homeschooler) โดยใช้เวลาไปสามวันในงานประชุมโฮมสคูลที่จัดขึ้นในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ในงานนั้นเราเป็นเจ้าภาพจัดบูธนิทรรศการและเป็นผู้นำการจัดเวิร์กช็อป แต่ทว่างานนี้กลับไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้
เรื่องราวสำหรับการดูแลการศึกษาด้วยตัวเอง
บิตคอยน์ให้ความกระจ่างในความเข้าใจผิดหลาย ๆ เรื่อง เช่น พลังงาน เศรษฐศาสตร์ อาหาร และสาขาอื่น ๆ นับไม่ถ้วน แต่ในเรื่องการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นั้นยังคงต้องการการชำระสะสางความจริงให้กระจ่างต่อไป แต่อย่างน้อยถ้าคุณเข้าใจและยอมรับในบิตคอยน์แล้ว คุณจะเห็นความจริงชัดมากขึ้นเมื่อมองย้อนกลับไป
ฉันกับทาลิมักจะรู้สึกไฟลุกโชนเมื่อคิดถึงเรื่องการ “ดูแลการศึกษาด้วยตัวเอง” (Self-custody of Education) แต่ในตอนแรกนั้นเราไม่ได้เข้าใจปัญหานี้เหมือนปัจจุบัน ทุกวันนี้เรามีลูกสี่คนที่โตมากับการเรียนแบบโฮมสคูลที่เราทำมา 20 ปีต่อเนื่อง ในตอนที่เราเริ่มต้นนั้นมันเป็นแค่ “การสอนหนังสือ” แต่ในตอนนี้เรามีแผนการเรียนการสอนที่ชัดเจนขึ้น และสามารถที่จะอธิบายการดูแลการศึกษาด้วยตนเองและความสำคัญของมัน ซึ่งต้องขอบคุณการลงหลุมกระต่ายบิตคอยน์ (การศึกษาเรื่องราวของบิตคอยน์อย่างลึกซึ้ง-ผู้แปล)
ฉันจะอธิบายถึงความคิดที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อของชาวบิตคอยน์กับชาวโฮมสคูลในบทความนี้ เปรียบเสมือนกับการขุดบิตคอยน์และการใช้พลังงาน สองสิ่งนี้กำลังประสานเข้าด้วยกัน เหมือนที่ชาวบิตคอยน์และชาวโฮมสคูลก็จะประสานเข้าด้วยกันในที่สุด ในตอนนี้ฉันรู้สึกชื่นชอบและสนับสนุนการเกิดขึ้นของสังคมลักษณะนี้เป็นอย่างมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ลองคิดถึงความรู้สึกเมื่อคุณได้แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเพื่อนสนิทของคุณ คุณจำช่วงเวลาที่คุณคิดเตรียมหาของขวัญเพื่อเพื่อนคนนั้นโดยเฉพาะได้ไหม? คุณจำความรู้สึกหวิว ๆ ปนความตื่นเต้นตอนที่คุณมอบของให้เขา จดจำแววตาของพวกเขาที่เป็นประกายเมื่อได้รับของขวัญนั้นได้ไหม?
การนำพาใครบางคนให้รู้จักกับโพรงกระต่ายบิตคอยน์ก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นล่ะ
นี่คือระดับของความตื่นเต้นที่ทาลิและฉันรู้สึกก่อนการประชุม ชาวโฮมสคูลคือพวกของเรา ในใจของเรารู้ว่าพวกเขามีแนวคิดความสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับบิตคอยน์มากแค่ไหน ต่อไปนี้คือเหตุผล 10 ประการว่าทำไมเราจึงมีความหลงใหลและความตื่นเต้นในเรื่องนี้อย่างมาก
1. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์ชอบความไร้ศูนย์กลาง (Decentralization)
ชาวบิตคอยน์หลายคนน่าจะพอคุ้นกับหนังสือ “The Creature from Jekyll Island” และการขยายอำนาจอย่างต่อเนื่องของผู้วางแผนจากส่วนกลาง ผลเสียของคำสั่งประกาศิต (Fiat) นั้นราวกับมะเร็งร้ายที่ทำลายไม่เลือก ทั้งชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์เข้าใจถึงความเสียหายจากการรวมศูนย์ที่มากขึ้นของหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านโยบายแบบลัทธิเบิกเนตร (Woke) และปรัชญาการเมืองแบบสังคมนิยม บรรดารัฐบาลและระบบราชการที่วางแผนจากส่วนกลางได้ฝังรากลึกลงในวงการการศึกษามากขึ้นทุกขณะ
กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐ (U.S. Department of Education, DOE) ก่อตั้งขึ้นในปี 1979 และมีงบประมาณประจำปีสูงถึง 68,000 ล้านดอลลาร์ (ไม่รวมงบประมาณการศึกษาของรัฐและท้องถิ่น) เงินมากขนาดนี้ไหลไปไหน? เมื่องบประมาณบ้า ๆ บอ ๆ เพิ่มขึ้น แต่ผู้รับผลประโยชน์กลับไม่ใช่นักเรียนหรือแม้แต่ครู เงินใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกลับไหลไปสู่กระเป๋าของผู้บริหารในระบบราชการ พูดในภาษาชาวบิตคอยน์ก็คือเงินไหลไปสู่กระเป๋าพวก “Rent Seeker” นั่นเอง ยิ่งดูตัวเลขจากปี 2000 ถึงปี 2019 ที่มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น 7.6% จำนวนครูเพิ่มขึ้น 8.7% แต่จำนวนผู้บริหารประจำเขตการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งถึง 87.6%
เมื่อคุณมีอำนาจในการจัดการเงิน คุณจะสามารถควบคุมนโยบายได้ สถาบันการศึกษาไหนกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านนโยบายต่าง ๆ ที่ถูกสั่งการมาจากผู้เชี่ยวชาญของส่วนกลาง (ที่รู้ดีไปเสียทุกเรื่อง) จะทำให้โรงเรียนหรือวิทยาลัยของพวกเขาเจอความเสี่ยงที่จะโดนตัดเงินงบประมาณที่ได้รับจากส่วนกลาง หน่วยงานของรัฐ และองค์กรท้องถิ่น รวมทั้งบุคลากรภายในสถาบันต้องเจอความเสี่ยงที่จะตกงาน (และสูญเสียอำนาจ) หากพวกเขาต่อต้านหรือโต้แย้งกับเนื้อหาที่ถูกบรรจุมาในหลักสูตรแล้วเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เชื้อชาติ เพศ หรือประเด็นทางการเมือง
จากข้อมูลทางสถิติแบบมองจากบนลงล่าง (Top-down Statists) ที่ป้อนเข้าสู่กลไกราชการ พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่ครอบครัวจะหาทางออกจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แถมนโยบายการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดแสดงให้เห็นแล้วว่าคนเราสามารถจัดการทรัพยากรอย่างไรได้บ้าง ซึ่งนั่นผลักดันให้จำนวนเด็กในวัยเรียนหันไปใช้การศึกษาแบบโฮมสคูลมากกว่า 11% เลยทีเดียว
โฮมสคูลเป็นการศึกษาแบบไร้ศูนย์กลาง อันประกอบไปด้วยผู้ร่วมปฏิบัติการณ์ (Co-operative) ซึ่งเปรียบเสมือนโหนด (Node) ที่เลือกดำเนินชุดหลักสูตรการศึกษาของตนเอง รวมทั้งเลือกองค์กรสนับสนุนอื่น ๆ และทรัพยากรทางการศึกษาที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หัวใจสำคัญของโฮมสคูลนั้นคือ “บ้าน” ซึ่งเป็นหน่วยของครอบครัวที่ให้ความเป็นอิสระจากศูนย์กลางอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว เท่าที่คุณจะสามารถหาได้สำหรับการศึกษา
2. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์ยอมรับหลักการของการดูแลตนเอง
มันยากที่จะจินตนาการถึงสังคมมนุษย์เราที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนระบบมาตรฐานทองคำ (The Gold Standard) เนื่องจากเงินที่มั่นคง (Sound Money) ไม่ใช่แนวคิดใหม่เลยจากมุมมองทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันแค่ใหม่สำหรับเรา ชาวบิตคอยน์ได้ยอมรับเงินที่มั่นคงและต้องการที่จะปกป้องมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าทุกคนยึดตามคำแนะนำที่ว่า “Not your keys, not you coins” หรือ “ไม่ใช่กุญแจของคุณก็ไม่ใช่เหรียญของคุณ” อาชญากรอย่างแซม แบงค์แมน-ฟรายด์ (Sam Bankman Fried) ก็จะทำร้ายใครไม่ได้เลย
ชาวโฮมสคูลมีปัญหาในการให้ความเชื่อใจในระบบการศึกษา เช่นเดียวกันกับชาวบิตคอยน์มีปัญหาในการเชื่อใจในเรื่องระบบการเงิน ตามประวัติศาสตร์แล้วการศึกษาแบบโฮมสคูลไม่ใช่แนวคิดใหม่ มันแค่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา บุคคลเหล่านี้คือตัวอย่างบางส่วนของผู้นำทรงอิทธิพลที่เคยเรียนโฮมสคูล : จอร์จ วอชิงตัน, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, อับราฮัม ลินคอล์น, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ลีโอนาร์โด ดาวินชี, โธมัส อัลวา เอดิสัน, ดักลาส แมกอาเธอร์, ชาร์ลส์ ดิกเกนส์, ซี.เอส.ลีวิส และอีกมากมาย
เราปกป้องตนเองจากความเสี่ยงด้วยการควบคุมกุญแจของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นกุญแจไขสู่บิตคอยน์ของคุณ หรือกุญแจไขสู่การศึกษาของลูก ๆ ของคุณก็ตาม การดูแลตนเองเป็นหลักการสำคัญที่ต้องยอมรับ
3. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์เข้าใจหลักการ “การพิสูจน์ด้วยการทำงาน” (Proof of Work)
เวลาเป็นสิ่งเดียวในจักรวาลที่มีค่ามากกว่าบิตคอยน์ ดังนั้นจึงต้องมีใครสักคนยอมเสียสละเวลาอันมีค่าของเขา ซึ่งคือค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต้องนำมาใช้ลงทุนเพื่อทำการสอนเด็กที่บ้าน ทั้ง ๆ ที่คนผู้นั้นสามารถเอาเวลานี้ไปทำงานอื่นและปล่อยให้คนอื่นมาจัดการเรื่องตำราเรียน การสอบตัดเกรดวัดผล และเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับการเรียนแทนก็ได้ แต่ลึก ๆ กว่านั้นมันไม่ใช่แค่เวลาหรอก เพราะการทำโฮมสคูลนั้นโหดมาก เราต้องทำงานแบบ 24/7 แล้วมันจะมีความแปรปรวนในเรื่องของอารมณ์อีกด้วย มันจะมีช่วงเวลาที่คุณเครียดมากจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
การพิจารณาในข้อดีข้อเสียของการทำโฮมสคูลก็ไม่ต่างกับการจะเริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์ทอัพบิตคอยน์ ฉันขอยืมวลีจากคริสเตียน คีโรเลส (Christian Keroles) และแมตต์ โอเดล (Matt Odell) ที่ว่ามันมีค่าเสียโอกาสในหน่วยแซต (ซาโตชิ หรือ Satoshi ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของบิตคอยน์) เมื่อลงทุนในบริษัทบิตคอยน์ ทางเลือกอีกทางก็คือการถือบิตคอยน์ไว้เฉย ๆ (HODL) เพราะผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ควรจะต้องมากกว่าทางเลือกอื่น ๆ อย่างการเก็บออม (ถ้าผลตอบแทนในการลงทุนไม่มากกว่าการเก็บออม ก็อย่าลงทุน-ผู้แปล)
เหล่าผู้ทำโฮมสคูลคือคนที่เพียงตัดสินใจว่าการสร้างการศึกษาของลูก ๆ เพื่อให้พวกเขาใช้เป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากขึ้น สิ่งนี้คือผลตอบแทนที่ดีที่สุดในการลงทุนเวลาให้ลูก ๆ เหล่าชาวโฮมสคูลกำลังตัดสินใจที่จะอดทนผ่านรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ของการเดินทาง เพราะการลงทุนด้วยเวลา พลังงาน และความรักอันน่าทึ่งของพวกเขาคือการพิสูจน์ด้วยการทำงานหรือ “Proof of Work” นั่นเอง
4. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์ต่อสู้กับความกลัว ความไม่แน่นอน ความสงสัย (FUD หรือ Fear Uncertainty and Doubt)
FUD ที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับโฮมสคูลคือ “ทักษะการเข้าสังคม” ในตอนแรกที่ทาลิแนะนำให้เราทำโฮมสคูลกับลูกคนแรก ฉันสงสัยว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อประสบการณ์การเข้าสังคมของลูกหรือไม่ ความกังวลของฉันไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเด็กโฮมสคูลก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป พวกเขาเล่นกีฬา เข้าร่วมกิจกรรมในโรงละคร หัดสร้างหุ่นยนต์ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย (เช่น การเต้นรำทางสังคม) จนเมื่อลูก ๆ ของเราเติบโตผ่านช่วงวัยรุ่น ฉันกลับสงสัยว่าพวกเขาเข้าสังคมมากเกินไปหรือเปล่านะ
นอกจากนี้ สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นคือเด็กที่เรียนโฮมสคูลนั้นเก่งกาจด้านการคิดด้วยตนเอง พวกเขายึดหลักแนวคิด เช่น “Don’t trust. Verify” (อย่าไว้ใจ จงตรวจสอบ) ตรงกันข้ามกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบซึ่งเป็นแกนหลักของสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยรัฐ
เหตุผลก็คือเด็กที่เรียนที่บ้านได้รับบทเรียนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การเก็บขยะ ก็กลายเป็นโอกาสในการพูดคุยเกี่ยวกับความรับผิดชอบส่วนบุคคล ความซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ และหัวข้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่เชิงวิชาการได้ นี่ทำให้ฉันเห็นถึงประเด็นที่ว่าการพิสูจน์ด้วยการทำงาน (Proof of Work) นั้นเป็นจริงได้อย่างไรในหลากหลายสถานที่ ซึ่งแม้ขณะอยู่นอกบ้านก็ทำได้ด้วยเช่นกัน
5. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์ถูกดึงดูดเข้าสู่แนวคิดเสรีนิยม (Libertarian)
มันตั้งต้นจากหลักการที่ว่าพ่อแม่คือผู้รับผิดชอบหลักที่สำคัญที่สุดอันดับแรกในการสอนลูก ๆ ของพวกเขาเอง แต่ในทางกลับกันแนวคิดของพวกมาร์กซิสต์ สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์จะปฏิเสธหลักการพื้นฐานนี้ เพราะแนวคิดของพวกเขาต้องการให้รัฐตัดสินใจแทนเราว่าอะไรคือสิ่งที่ยอมรับได้ โดย “พวกครู” เป็นผู้ปลูกฝังความคิดให้เด็ก ๆ ต้องปฏิบัติตาม
“แล้วใครเป็นเจ้าของเด็กล่ะ? มีตัวเลือก 3 ทาง ได้แก่ 1) พ่อแม่ที่ต้องทนลำบากในการให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก — 2) ผู้ที่ส่วนใหญ่แล้วจะสละชีวิตเพื่อเลี้ยงดูเด็กตราบเท่าที่ต้องใช้เวลานานเท่านาน — หรือ 3) ระบบราชการด้านการศึกษาที่มีแนวโน้มที่จะมองว่าเด็กเป็นทรัพย์สินของโครงการวิศวกรรมทางสังคม ที่มีจุดประสงค์เพื่อจัดระเบียบรัฐบาลและสังคมใหม่ ซึ่งต่างจากที่พ่อแม่เด็กมอง”
–Larry Arnn ประธานวิทยาลัย Hillsdale
ชาวโฮมสคูลก็เหมือนชาวบิตคอยน์ที่ตระหนักดีว่าเสรีภาพของเรากำลังถูกโจมตี ชาวโฮมสคูลมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของรัฐเนื่องมาจากความเชื่อของพวกเขา ดังนั้นจึงมีเหตุผลให้พวกเขาเห็นพ้องกันกับปรัชญาการเมืองที่สนับสนุนเสรีภาพ และเดินไปในแนวทางเดียวกับผู้คนที่เห็นคุณค่าของอิสระทางการเมืองส่วนบุคคล ความคิดของรัฐที่ตัดสินใจว่าเด็กควรได้รับการสอนอะไรและอย่างไร (โดยไม่คำนึงถึงความเห็นของพ่อแม่) ทำให้เกิดความตกใจในหมู่นักเรียนโฮมสคูล เหมือนกับที่สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CDBC) นั้นทำกับชาวบิตคอยน์
6. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์เห็นคุณค่าของความรับผิดชอบส่วนบุคคล
ชาวโฮมสคูลเป็นนักปฏิบัติ พวกเขาทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้าทางเลือกหลักสูตรและกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่บุตรหลานของเขา พวกเขาอ่านหนังสือหลายเล่ม พวกเขาฟังพอดแคสต์หลายตอน และพวกเขายินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมการประชุมโฮมสคูล นี่ยังไม่รวมค่าเดินทางและค่าที่พักเพื่อไปที่นั่นด้วยนะ
พวกเขาไม่คาดหวังเอกสารประกอบคำบรรยาย พวกเขาไม่ได้ร้องขอการแก้ปัญหาในแบบที่รัฐบาลผู้ยิ่งใหญ่ชอบทำ พวกเขาไม่ไว้ใจข้าราชการว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยวนทางอำนาจได้ เช่น การส่งเสริมหลักสูตรการศึกษาตามวาระทางการเมือง
ฟังดูคุ้น ๆ ไหม?
นี่คือการกระทำที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของชาวบิตคอยน์ที่พบได้อย่างแพร่หลาย ชาวบิตคอยน์ค้นคว้าทางเลือกของพวกเขาเอง อ่านหนังสือหลายเล่ม ฟังพอดแคสต์หลายตอน และแม้แต่จ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมการประชุมบิตคอยน์ พวกเขาไม่รอเอกสารแจก ไม่คาดหวังความช่วยเหลือจากรัฐบาลขนาดใหญ่ และไม่ไว้ใจข้าราชการว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยวนทางอำนาจได้ เช่น การพิมพ์เงินไม่รู้จบ และการลดมูลค่าของเงิน
7. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์เชื่อในความหวังและอิสรภาพ
แนวคิดนี้ไม่ชัดเจนเท่ากับแนวคิดอื่น ๆ แต่คุณจะพบว่าแนวคิดนี้ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความรู้สึกหงุดหงิด (ไปจนถึงอารมณ์เกลียดแบบอยากตะโกนดัง ๆ) เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ระบบที่ผุพัง และสภาพของโลกที่มีความเห็นแก่เวลาสูงมาก (High Time Preference) สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงแนวคิดการมองโลกในแง่ดี
ถ้าคนไม่เชื่อในอนาคตที่ดีกว่า คงไม่มีประโยชน์ที่จะลงทุนและเสียสละเพื่อทำโฮมสคูล ถึงกระนั้นพ่อแม่ที่ตัดสินใจทำโฮมสคูลต้องใช้เวลายาวนานเป็นพิเศษ ฉันกับทาลิคิดเป็นอย่างดีแล้วที่เลือกจะใช้ชีวิตด้วยรายได้จากทางเดียว แม้ว่านั่นจะหมายถึงการมีบ้านหลังเล็กลง และการไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนสุดหรูก็ตาม เราไม่ได้ผิดปกติ การทำโฮมสคูลเป็นโอกาสที่คุ้มค่ากับการเสียสละความปรารถนาระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว (จะกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเห็นแก่เวลาที่ต่ำ หรือ Low Time Preference ในไม่ช้า)
บิตคอยน์คือความหวัง การใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า www.hope.com ของไมเคิล เซเลอร์ (Michael Saylor) นั้นยอดเยี่ยมมาก ถ้าไม่ใช่เพราะบิตคอยน์ วงจรหนี้ในประเทศของเราจะกดดันฉันจนถึงขั้นยอมแพ้ หากไม่ใช่เพราะบิตคอยน์ การผลักดันทางสถิติให้เกิดการเลียนแบบ CDBC ของจีนจะทำให้ฉันเชื่อว่าอนาคตแบบในหนังสือ “1984” ของ George Orwell นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่าหากคุณไม่มีความหวังในอนาคตของบิตคอยน์ คุณคงไม่ตัดสินใจอ่านบทความนี้ตั้งแต่แรก
8. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์ผลักดันการศึกษาเชิงรุก
การเรียนรู้ในงานประชุมโฮมสคูลนั้นไม่จำเป็นต้องมีการจัดรูปแบบที่ชัดเจน ฉันยังไม่เคยพบกับชาวบิตคอยน์ที่ไม่เชื่อว่าการเรียนรู้และศึกษาบิตคอยน์คือกุญแจสำคัญ อย่างไรก็ตามฉันจะแบ่งปันตัวอย่างสักสองสามเรื่องให้ฟัง
สำหรับการทำโฮมสคูล เราอาจเคยเป็นผู้สอนเพียงรายเดียวในห้องประชุมที่เน้นการเรียนรู้เรื่องราวของเงินที่มั่นคง แต่เรากลับพบว่าเราเน้นสอนเรื่องอิสรภาพและเสรีภาพเพิ่มไปด้วย หากคุณมีลูกเล็ก ๆ หรือกำลังมองหาของขวัญสำหรับเด็กเล็ก ขอแนะนำให้ลองดูหนังสือของฝาแฝดทัตเทิล (The Tuttle Twins)
สำหรับเรื่องบิตคอยน์ ตัวอย่างที่จะกล่าวถึงคือกลุ่ม Mi Primer Bitcoin กลุ่มนี้เพิ่งแปลโปรแกรมจากภาษาสเปนเป็นภาษาอังกฤษ นี่เป็นแหล่งข้อมูลการสอนที่ยอดเยี่ยมมากและให้ฟรี
9. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์กำลังเข้าสู่ภาวะ “และแล้วเขาก็สู้คุณ” (Then-they-fight-you Stage)
คณะบริหารของประธานาธิบดีไบเดนไม่เป็นมิตรกับบิตคอยน์ รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ และธนาคารกลาง (Federal Reserve) ด้วยเช่นกัน แม้ฉันจะเชื่อในภาวะที่ว่า “แล้วเราก็ชนะ” (And then we win.) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภาวะ “และแล้วเขาก็สู้คุณ” แบบในปัจจุบันจะไม่เจ็บปวด เพราะพวกเขากำลังโจมตีอยู่อย่างแน่นอน
ข้อความด้านล่างนี้ที่ตัดตอนมาจากเว็บไซต์ของธนาคารคัสโตเดีย (Custodia Bank) ซึ่งอ่านแล้วทำให้ฉันถึงกับเดือดปุด ๆ :
“การแห่ถอนเงินจากธนาคารจำนวนมาก หรือ 'Bank Run' จนธนาคารไม่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้ครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดกับธนาคารหลายแห่งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีธนาคารที่มีการจัดการสภาพคล่องได้ดีและมีความมั่นคงอย่างเต็มรูปแบบ ธนาคารที่ซึ่งมีเครื่องมือพร้อมจะรองรับอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นั่นคือรูปแบบตรงตามที่นำเสนอโดยธนาคารคัสโตเดียซึ่งถือครองเงินสด 1.08 ดอลลาร์ เพื่อค้ำประกันเงินทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่ลูกค้านำมาฝากไว้ (1.08:1) น่าเสียดายที่ธนาคารกลางทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และยอมปล่อยให้ธนาคารแบบดั้งเดิมสามารถมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะลูกค้าถอนเงินไม่ได้เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันพวกเขากลับเข้าจัดการกำจัดอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธนาคารคัสโตเดีย”
การไม่รับรองอนุมัติธนาคารคัสโตเดีย ทั้ง ๆ ที่มีนโยบายการจัดการความเสี่ยงที่ดีมาก คือการโจมตีอย่างเปิดเผยต่อผู้ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามแผนการของเทพเจ้าจากส่วนกลาง
ต่อจากนี้จะเป็นกรณีศึกษาเคสหนึ่ง ซึ่งเหตุผลที่ฉันเลือกเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะมันเน้นถึงการทำโฮมสคูล แต่เพราะมันแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถืออำนาจควบคุมจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อจะปกป้องอำนาจของพวกเขา
ในปี 2021 เขตการศึกษาเล้าเด็นเคาน์ตี้ (Loudoun County) ในรัฐเวอร์จิเนียปกปิดเหตุการณ์การข่มขืนนักเรียนหญิงรายหนึ่งที่กระทำโดยนักเรียนชายที่สวมกระโปรง และนี่ไม่ใช่การก่อเหตุครั้งแรกของคนร้ายรายนี้ เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำผู้หญิงเพราะโรงเรียนปฏิบัติตามนโยบายความเท่าเทียมทางเพศตามกระแสสังคม
แม้ว่าแค่นี้ก็ฟังดูน่าตกใจมากแล้ว แต่จริง ๆ แล้วมันแย่ยิ่งกว่านี้อีก เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เรียกว่า “จากนั้นพวกเขาโจมตีคุณ” มันส่งผลกระทบต่อวงการการศึกษาไม่ใช่แค่กับการทำโฮมสคูล แต่นี่คือการโจมตีที่ระบบการศึกษาและการโจมตีที่พ่อแม่เด็ก พ่อของเหยื่อที่ถูกข่มขืนกลับถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพียงเพราะเขาพูดเรื่องนี้ออกมากลางที่ประชุมคณะกรรมการโรงเรียน พ่อของเหยื่อถูกจับกุม ผู้บริหารโรงเรียนที่พยายามปกปิดเหตุอาชญากรรมนี้ยัดเยียดหลักการเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและนโยบายสุดโต่งอื่น ๆ เพื่อปิดปากพ่อของเหยื่อไม่ให้สามารถพูดได้ตามสิทธิที่พึงมีของคุณพ่อคนนึง ที่ลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจากผลของวาระแฝงทางการเมือง
10. ชาวโฮมสคูลและชาวบิตคอยน์มีความเห็นแก่เวลาในระดับที่ต่ำ (Low Time Preference)
การตัดสินใจเลือกทำโฮมสคูลเป็นงานที่ใช้เวลานานกว่าจะแสดงผล มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความแปรปรวนทางอารมณ์ ฉันหวังว่าจะมีคำขวัญสำหรับชาวโฮมสคูลในแนว “จงถ่อมตัว และเก็บออมแซต” (Stay humble, stack sats.)
ตอนนี้ฉันคิดได้ประมาณว่า “ลงมือปฏิบัติ, การศึกษาแบบดูแลตนเอง” (Take action, self-custody education.)
วันเล่นเกม : ข้อสังเกตและบทเรียนที่ได้รับ
จากคำบอกเล่าของเหล่าผู้ได้เข้าร่วมงานประชุมโฮมสคูลที่เป็นเหมือนเพื่อนบ้านของเราในห้องโถงนิทรรศการ พวกเขากล่าวว่างานที่เซนต์หลุยส์นั้นยิ่งใหญ่และมีพลังมากกว่าปีก่อน ๆ แต่ถึงกระนั้นทาลิและฉันก็รู้สึกประหลาดใจที่ผู้เข้าร่วมประชุมไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะสนใจในเรื่องบิตคอยน์เท่าไหร่นัก
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ฉันกล่าวถึงข้างต้น พวกเราคาดหวังว่าจะมีการสนทนาอย่างกว้างขวางของผู้ที่อยากเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับเงินที่มั่นคงลงในหลักสูตรโฮมสคูลของพวกเขา เราได้พบคนที่แสดงความสนใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้สึกดี แต่ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนหลีกเลี่ยงการสบตากับเรา ราวกับว่าทาลิและฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างนั้นแหละ
ต่อไปนี้เป็นบทเรียนสามอันดับแรกที่เราได้เรียนรู้และสิ่งที่ทำให้เราต้องปรับปรุง
บทเรียนแรกที่ได้เรียนรู้ : ชาวโฮมสคูลสับสนเรื่อง “เงินมั่นคง” กับการเงินส่วนบุคคลของเดฟ แรมซีย์ (กูรูด้านการเงินคนหนึ่ง)
จากผู้เข้าร่วมการประชุม 5,000 คน ส่วนใหญ่ไม่มีกรอบความเข้าใจในเรื่องเงินที่มั่นคง สิ่งนี้นำไปสู่ความกังขา และบางครั้งก็แสดงท่าทีเย้ยหยันเมื่อมาที่บูธของเรา ซึ่งเราเป็นผู้จัดกิจกรรมเพียงรายเดียวที่มีเกมและหนังสือเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับบิตคอยน์
การใช้เรื่องเงินที่มั่นคงมาชักชวนให้ชาวโฮมสคูลสนใจบิตคอยน์นั้นมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการพูดถึงบิตคอยน์ตรง ๆ เลย
เรากำลังเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอของเราสำหรับการประชุมโฮมสคูลในเดือนถัดไปให้ตรงไปตรงมามากขึ้น บิตคอยน์เป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการ บิตคอยน์เป็นความหวังสำหรับเราและคนรุ่นต่อไป การสอนลูก ๆ ของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ หากคุณไม่ต้องการใช้แหล่งข้อมูลด้านการศึกษาของเราก็ไม่เป็นไร แต่จงเริ่มให้ความรู้แก่ตัวคุณเองและบุตรหลานของคุณโดยเร็วที่สุด
บทเรียนที่สอง : ปรับปรุงเวิร์กช็อปให้หลากหลายสำหรับกลุ่มผู้ฟังที่แตกต่างกันมากขึ้น
ฉันได้นำเสนอภาพรวมของบิตคอยน์โดยใช้เกม HODL UP ของเราในเวิร์กช็อปหนึ่ง คุณจะได้เรียนรู้กลไกและคำศัพท์ของบิตคอยน์ผ่านการเล่นเกมนี้ โดยฉันจำกัดตัวอย่างการสนทนาในการเล่นบอร์ดเกมไว้แค่ 3 ประเด็น ได้แก่ :
- การขุดบิตคอยน์
- การมีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญของบิตคอยน์
- วอลเล็ทประเภทต่าง ๆ สำหรับเก็บรักษาบิตคอยน์
มันเป็นการยากที่จะเข้าถึงผู้ร่วมงานในแต่ละกลุ่ม แม้เราจะลดความซับซ้อนและเชื่อมโยงแนวคิดการเล่นเกมเข้ากับระบบบิตคอยน์ที่แท้จริงแล้วก็ตาม ผู้ชมครึ่งหนึ่งก็ยังรู้สึกว่ามันยากเกินไป เราจะต้องทำให้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนผู้ชมอีกครึ่งที่เหลือนั้นมีความกังขาเกี่ยวกับคำแนะนำในการลงทุนนี้
ฉันกับทาลิกำลังเพิ่มจำนวนเวิร์กช็อปจากหนึ่งช่วงเป็นสี่ช่วงสำหรับการประชุมโฮมสคูลครั้งต่อไป เรากำลังสร้างเนื้อหาที่ปรับปรุงมาโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองความสนใจและระดับความรู้ของผู้ชมที่แตกต่างกัน
บทเรียนที่สาม : คุณแม่มีแนวโน้ม (อย่างมาก) ที่จะพูดว่าคู่สมรสของพวกเธอเป็น “คนมีหัวเรื่องการเงิน”
มีแนวโน้มที่แตกต่างกันตามเพศ เรามีการพูดคุยกับคุณแม่ที่ทำโฮมสคูลอยู่หลายครั้ง และคุณแม่มักกล่าวว่าคู่สมรสของพวกเธอเป็นคนที่เข้าใจเรื่องการเงิน หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องบิตคอยน์ ในขณะที่ไม่มีคุณพ่อที่ทำโฮมสคูลคนไหนพูดถึงคุณแม่แบบนี้เลย
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรเป็นสิ่งผลักดัน เรายังไม่รู้อย่างถ่องแท้ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะชาวโฮมสคูลเท่านั้น แต่เหมือนกับว่าในการพบปะของชาวบิตคอยน์ก็มักจะประกอบไปด้วยผู้ชายถึง 80% ถ้าบิตคอยน์นั้นดีสำหรับทุกคน แต่ทำไมเราไม่เห็นผู้หญิงมากขึ้นในพื้นที่นี้ล่ะ? เราจะเข้าถึงพวกผู้หญิงได้อย่างไร?
เราจะรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เราเดินทางและพบปะผู้คนแบบตัวต่อตัวมากขึ้น
ขั้นตอนต่อไป : ทัศนคติเชิงบวกและการประชุมครั้งต่อไป
ทาลิและฉันรู้ว่าเหล่าชาวโฮมสคูลนั้นพร้อมสำหรับบิตคอยน์ เพียงแต่พวกเขาแค่ยังไม่รู้ตัว เราอยู่ในภารกิจที่จะพาพวกเขาเดินทางไปหาคำตอบนี้ มันอาจใช้เวลาหลายปีแต่ก็ไม่เป็นไร นี่เป็นความพยายามแบบไม่รีบร้อนเพื่อเอาผลลัพธ์ มันเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้ผู้คนตัดสินใจด้วยตัวเอง เช่น การถามให้คิดแทนที่จะบังคับให้พวกเขาสัมผัสประสบการณ์จริงกับความล้มเหลวอย่างย่อยยับของระบบการเงิน
จากการเขียนนี้ การประชุมโฮมสคูลครั้งต่อไปของเราอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ จากประสบการณ์ในกิจกรรมเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรากำลังปรับเปลี่ยนแนวทางของเรา เราหวังว่าจะได้แบ่งปันบทเรียนที่ได้รับกับชาวบิตคอยน์คนอื่น ๆ
ทาลิและฉันอยากจะแสดงความขอบคุณต่อหนังสือ “Thank God for Bitcoin” และเว็บไซต์ SHAmory ซึ่งผู้คนทั้งสองกลุ่มนี้ได้ช่วยเหลืองานในเดือนมีนาคมของเรา และเราต้องการแสดงความขอบคุณต่อผู้จัดงาน St. Charles Bitcoin Meetup มันมีการจัดเกมพิเศษเกี่ยวกับบิตคอยน์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากการประชุม และเราใช้เวลาห้าชั่วโมงที่น่าทึ่งในการทำความรู้จักกับผู้คนที่ถ่อมตัวและยอดเยี่ยม! เราอยากให้งานแบบนี้มีจัดขึ้นทุกปี!
สุดท้ายนี้เราอยากจะแสดงความขอบคุณต่อชาวโฮมสคูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต ขอบคุณ! หากคุณสนใจเรียนโฮมสคูล อย่าไว้ใจเรา พิสูจน์มันด้วยตัวคุณเอง