ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “Fiat” มาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็รู้จักคำว่า “Fiat money” เพราะมันคือที่มาของการกำเนิด Bitcoin ที่ช่วยให้เราได้หลีกหนีจาก Fiat Money ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
แต่ผมเชื่อว่ายังมีหลายคนที่อาจไม่ได้เข้าใจถึงคำว่า Fiat จริง ๆ หรืออาจจะเข้าใจแค่คำว่า Fiat Money แล้วก็มองผ่านมันไป
ว่าแต่ Fiat คืออะไร?
อันดับแรก เรามาทำความเข้าใจกันครับ ว่าที่จริงแล้วนิยามของคำว่า Fiat คืออะไร?
คำว่า Fiat ในความหมายตามพจนานุกรมแบบสั้น ๆ แปลว่า “คำสั่ง, คำพิพากษา, คำตัดสิน หรือพระบรมราชโองการ” หรือถ้าให้แปลแบบบ้าน ๆ เลยนะครับ
“Fiat คือ ตามคำสั่งหรือตามแผนการ (ของใครบางคน)”
ดังนั้นเราสามารถทำความเข้าใจความหมายแบบง่าย ๆ ว่าเมื่อเราเอาคำว่า Fiat ไปเติมหน้าคำต่าง ๆ มันก็จะมีความหมายว่า “………” ตามคำสั่งหรือตามแผนการ (ของใครบางคน)
เช่น “Fiat money คือ เงินตามคำสั่งหรือตามแผนการ (ของใครบางคน)”
ยิ่งเมื่อเราอ่านบทความจากหนังสือ “The Fiat Standard: The Debt Slavery Alternative to Human Civilization” ของ Saifedean Ammous ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่เขียนหนังสือ “The Bitcoin Standard: The Decentralized Alternative to Central Bank” โดยเล่มหลังนี้มีการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในชื่อว่า “The Bitcoin Standard: ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง” ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดยอาจารย์พิริยะ สัมพันธารักษ์ และ คุณพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว
เราจะพบว่ามีหัวข้อที่เต็มไปด้วยคำว่า Fiat มากมาย เช่น Fiat Money, Fiat Technology, Fiat Mining, Fiat Balance, Fiat Life, Fiat Food, Fiat Science, Fiat Fuel และอีกหลาย Fiat
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า สิ่งรอบตัวเรามากกว่า 80% หรืออาจจะมากถึง 90% เลยทีเดียวที่เกี่ยวข้องกับ Fiat หรือเป็นไปตามคำสั่ง (ของใครบางคน) เต็มไปหมด
บางคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะรู้สึกว่าผมกำลัง “มโน” หรือ “เมากาว” อะไรอยู่หรือเปล่า?
เอาแบบนี้ครับ ลองเปิดใจ ทำใจให้ว่าง วางความเคยชินลง แล้วมาเปิดรับความเป็นจริงกันครับ
ผมจะลองยกตัวอย่างสักเรื่อง แต่จะให้เจาะจงเอาเรื่องอะไรดี เพราะที่จริงเรื่องคำลวงของ Fiat มันมีเยอะแยะมากมาย ทั้งแบบเรื่องง่าย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ผมจะลองยกตัวอย่างสัก 2-3 เรื่องใกล้ตัวมาเล่าให้ฟังครับ
มะเร็งผิวหนัง : ความรู้แบบ Fiat Health
เรามักจะถูกเตือนจากหลาย ๆ คนว่า “อย่าตากแดดนานนะ เดี๋ยวเป็นมะเร็งผิวหนัง” ทำให้เรากลัวการออกแดดกัน หรือ ก่อนจะออกแดดก็ต้องทาครีมกันแดดด้วย
แต่รู้ไหมครับว่าทั้งที่บ้านเราแดดแรงขนาดนี้ กลับมีอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังในคนไทยแค่ประมาณ 3.4-3.5 คนต่อประชากร 100,000 คนเท่านั้น
ในขณะที่ทุกวันนี้เรามีการอัตราการเกิดโรคมะเร็งทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 170 คนต่อประชากร 100,000 คน โดยโรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรกในคนไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก
ทั้งที่มะเร็งผิวหนังนั้นมีอัตราการเกิดที่ต่ำมาก แต่ด้วยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่มักจะตอกย้ำว่า “ถึงจะมีอัตราการเกิดที่ต่ำ รักษาได้ง่าย แต่มันอันตรายถึงเสียชีวิตได้นะ” เราจึงยังคงกลัวการออกแดด และพยายามใช้สารกันแดดต่าง ๆ กันอย่างตั้งใจ
แล้วเราเคยสังเกตไหมครับว่า ส่วนใหญ่คนที่เป็นมะเร็งผิวหนังคือคนที่ทำงานตามปกติทั่วไป แต่ทว่าในกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้เพราะต้องตากแดดทั้งวัน เช่น กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ชาวไร่ ชาวนา และชาวสวน กลับเกิดมะเร็งผิวหนังขึ้นน้อยมาก มันเป็นเพราะอะไร?
ยิ่งเมื่อดูสถิติระดับโลก จะพบว่ากลุ่มประชากรที่เป็นมะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่ มักเป็นประชากรในประเทศที่ไม่ได้อยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีแสงแดดจัด น่าคิดนะครับ
แล้วทราบไหมครับว่า สิ่งหนึ่งที่สามารถกระตุ้นการเกิดมะเร็งผิวหนัง หรือโรคที่บริเวณผิวหนังของเราได้ก็คือ สารเคมีที่สัมผัสกับผิวของเรา
โดยถ้าใครติดตามข่าวมาบ้างน่าจะเคยเห็นประกาศนี้ (หรืออาจจะเคยเห็นข่าวนี้แต่ไม่ได้ฉุกคิดอะไร)
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2564 ได้มีการประกาศของราชกิจจานุเบกษากรมอุทยานฯ ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเล เข้าไปในพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดถึง 1 แสนบาท
ประกาศนี้ชวนให้เราลองมาฉุดคิดครับว่า ขนาดปะการังและสัตว์ทะเลยังตาย แล้วเราที่ทาสารเหล่านี้จะเป็นอะไรไหม?
และในขณะเดียวกับที่เราถูกเตือนว่าการถูกแสงแดดนั้นอันตราย แต่กลับมีงานวิจัยออกมามากมายถึงประโยชน์ของแสงแดดตลอดทั้งวัน
และที่สำคัญแสงแดดกลับช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย!!??
นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ “ใครบางคน” บอกเรามาตลอดเรื่องแสงแดดและมะเร็งผิวหนังนั้น คือบางส่วนของความรู้แบบ Fiat Med หรือ Fiat Health
เอาล่ะ เริ่มติดลมเรื่อง Fiat ผมขอยกตัวอย่างอีกสักเรื่อง เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องสุขภาพไปแล้ว ต่อไปเรามาพูดเรื่องก๊าซเรือนกระจกกันครับ
ภาวะเรือนกระจก กับ ความงวยงง ให้เรายังคงอยู่ใน Fiat
ทุกวันนี้เราจะพบเรื่องประหลาด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปศุสัตว์มากขึ้น มากจนผมก็อดขำไม่ได้ เช่น การเก็บภาษีเลี้ยงวัวของประเทศอังกฤษ การเก็บภาษีเลี้ยงแกะของประเทศนิวซีแลนด์ หรือนวัตกรรมต่าง ๆ ในการเลี้ยงสัตว์ เพียงเพราะมีงานวิจัยระบุว่า :
“สิ่งมีชีวิตกินหญ้าเหล่านี้ผายลมออกมาเป็นก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก หากมีการเลี้ยงสัตว์เหล่านี้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาภาวะเรือนกระจกมากขึ้นเท่านั้น”
ผลวิจัยนี้ถือเป็นเรื่องราวใหญ่เรื่องโตกันเลยทีเดียว ทั้งที่ “ก๊าซมีเทน” นั้นเกี่ยวข้องน้อยมากกับภาวะเรือนกระจกเมื่อเทียบกับสารอื่น ๆ
และที่ตลกมากขึ้นไปอีกคือ แหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนนั้นเกี่ยวข้องกับการผายลมของสิ่งมีชีวิตน้อยมาก!
เรามัวแต่วุ่นวายกับการผายลมของสัตว์ ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่เราควรไปจัดการคือ ระบบอุตสาหกรรม และ ระบบขนส่ง
ทุกวันนี้เราถูกทำให้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือตัวการ จนความเชื่อเลยเถิดไปถึงกลุ่มที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นส่งผลให้มีการทำปศุสัตว์มากขึ้น เมื่อปศุสัตว์มากขึ้นก็จะมีการผายลมมากขึ้น ทำให้โลกร้อนมากขึ้น ดังนั้นจึงอย่าทานเนื้อสัตว์
นี่มันไปกันใหญ่แล้ว!
ทั้งที่หากเราจัดการกับระบบขนส่งและระบบอุตสาหกรรม (ซึ่งมันคือ 70% ของการก่อภาวะเรือนกระจก) จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ได้มากกว่าการที่เรามาสาละวนกับการผายลมของสัตว์ (ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ) หรือแม้กระทั่งระบบ Carbon Credit ที่คุณสามารถผลิตมลภาวะได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม เพียงแค่คุณจ่ายเงินค่า Carbon Credit ให้กับบริษัทที่รักษ์โลก คุณก็จะพ้นจากข้อกล่าวหาในการสร้างมลพิษ
ซึ่ง Carbon Credit นี่แหละ คือรายได้ส่วนนึงที่ทำให้ Elon Musk ร่ำรวย!
..และนี่คือบางส่วนของ Fiat Enviroment หรือ Fiat Livestock
มันน่าแปลกนะครับ เพราะข้อมูลความเป็นจริงที่แสดงออกมา กับข้อมูลที่เราถูก “ใครบางคน” บอกให้เชื่อนั้น มันมีความย้อนแย้งกันอยู่ และบางครั้งก็แย้งกันแทบจะสุดขั้วเลยด้วย
ดังนั้นเมื่อเรามองจากจุดนี้ เราจึงพบว่าข้อมูลทาง Fiat นั้นคือข้อมูลที่เราถูก “ใครบางคน” ยัดเยียดหรือชวนเชื่อผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ โดยการสรรหาข้อมูลต่าง ๆ มากมายมาอ้างอิง
ทั้งที่เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจ เราจะพบว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
เหมือนกับ Fiat Money ที่เราถูกทำให้เชื่อว่า มันคือเงินตราที่รัฐบาลกำหนดขึ้น มันได้รับการยอมรับทางกฎหมาย มันมีความมั่นคง ปลอดภัย และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก แต่ทำไมเวลาธนาคารล้ม เรากลับได้รับการปกป้องเงินฝากเพียง 1 ล้านบาท ทั้งที่เราอาจจะมีเงินฝากในธนาคารมากกว่านั้น แถมมันคือ “เงินของเรา” ที่ฝากเอาไว้ด้วยนะ!
หรือไม่ต้องคิดไกล เราลองพิจารณากรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย เราจะพบว่าประชาชนยูเครนไม่ได้รับอนุญาตให้ถอนเงินหรือเคลื่อนย้ายเงินออกจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่าย หรือแม้แต่เพื่อจะใช้ในการหลบหนีจากภัยสงคราม
สรุปแล้วมันใช่เงินของเราจริงไหม? หรือเราแค่ถูกทำให้เชื่อว่ามันเป็นเงินของเรา?
นี่แหละครับ “Fiat”
“ลองมาวางความเคยชิน เปิดรับความเป็นจริง
แล้วหนีออกคุก Fiat ด้วยกัน”
หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว ผมหวังว่าคุณอาจจะได้เห็นมุมมองอีกมุมหนึ่งของข้อมูล ที่บางครั้งเราอาจจะลืมฉุกคิด หรือลืมที่จะพิจารณามันแบบมีเหตุและผลด้วยการศึกษาข้อมูลให้กว้างขึ้น มิใช่เชื่อทันทีเพียงเพราะ “เขาบอกว่า”
ใน Episode ถัด ๆ ไปของบทความในซีรีส์ “Behind FIAT Curtain” ผมจะมาชวนคุณมองสิ่งเหล่านี้จากจุดเล็ก ๆ รอบตัว แล้วจะค่อย ๆ ขยายภาพใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เห็นว่า “Fiat นั้นอยู่รอบตัวเราจริง ๆ”
ตอนต่อไปเรามาเริ่มจากจุดเล็ก ๆ กันอย่างประเด็นที่ว่า “We are part of getting children into the Fiat system.”
แล้วเรามาคุยกันว่าข้อมูลมากมายที่สามารถพิจารณาและตรวจสอบได้ คุณเองคิดว่าข้อมูลไหนคือ Fiat?
สำหรับท่านใดที่สนใจเนื้อหาการดูแลสุขภาพในแบบ วิถี IFF วิถีแห่งธรรมชาติตามหลักวิทยาศาสตร์ (ไม่ Fiat) สามารถติดตามได้สองช่องทางหลัก คือ ทาง FB Page “หมออ้วนในดงลดน้ำหนัก”
และทาง youtube Channel “ Fastingfatdentist”
14 Comments
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อฮ้ะ 😀
ขอบพระคุณมากๆเลยครับ
ขอให้คุณหมอสุขภาพแข็งแรง มีแรงซีีรีส์นี้ไปยาว ๆ แบบไม่ต้องมีตอนจบเลยก็ได้ครับ อยากอ่าน
ขอบคุณครับ และใจเย็นๆนะครับ
รอติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ
รอตอนต่อไปนะค่ะคุณหมอ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
ขอบคุณครับ
นี่แค่เปิดนะครับ
ซัดประเด็นที่ผมยังไม่ค่อยอยากพูดไปสองประเด็นละ 555 รออ่านเลยครับ
ขอบคุณครับอาจารย์
บทความดีมากครับ รอตอนต่อไปเลยครับ
รอตอนต่อไปฮะ