ผมยังคงนึกถึงความรู้สึก…
ในตอนที่ผมยืนจ้องอยู่หน้าตู้ ATM
ว่าไปแล้วมันก็ช่างน่าหดหู่..
ในยามที่เราจำเป็นต้องใช้เงิน
แต่ตัวเลขที่เหลืออยู่ กลับทำให้เราเริ่มรู้สึกลังเล..
มันอดคิดถึง 365 วันที่ผ่านมาไม่ได้..
เราแน่ใจ ว่าเราได้ทุ่มกายใจทั้งหมดไปกับงานแล้ว
ทำไมวันนี้สิ่งที่เราได้รับกลับมา จึงทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขเอาเสียเลย..
เราทำงานให้ใครกันนะ..?
ไม่ใช่ตัวเราเองหรอกหรือ..??
ผมเชื่อว่าหลายคนอาจเคยผ่านประสบการณ์ในแบบเดียวกัน
ผมเคยเจอกับช่วงกับเวลาอันน่าเศร้าแบบนั้น ในตอนที่ผมยังคิดอะไรแทบไม่ได้
ในทุกๆ วันที่ผมตื่นไปทำงาน ในหัวผมมันเต็มไปด้วยคำถาม
คำถามของคนที่ต้องการจะมีอิสรภาพ…
ผมไม่คิดว่าผมกำลัง หมายความถึง “อิสรภาพทางการเงิน“
ไม่เลย..
สำหรับผมมันคือ อิสรภาพในการได้ทำ สิ่งที่เราอยากทำ
แต่ก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่คำถามเหล่านั้นยังไม่เคยได้รับคำตอบ
ผมยังคงติดอยู่ในวงล้อที่หมุนวนกลับมายังจุดเดิมๆ ในทุกๆ วัน
ไม่เคยได้พบกับอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเลย…
ใช่… ผมคงกลายเป็น หนูถีบจักร ไปแล้ว
ไม่สิ… ผมน่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วสินะ..
ผมทำงานตัวเป็นเกลียว.. เอาเหงื่อแลกเงิน
มีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน.. ออกไปหาเงิน.. เก็บเงิน
นำเงินไปซื้อสิ่งที่ต้องการ.. เอาไปลงทุน.. จากนั้นเงินก็ร่อยหรอ
ผมต้องออกไปหาเงินใหม่ วนไปแบบนี้เรื่อยๆ
มันเป็น “วงล้อหมุน” ที่ค่อยๆ กัดกร่อนพลังงานของผมทีละเล็กทีละน้อย
ทำให้ผมต้องนำกลับมานั่งทบทวน พูดคุยกับตัวเองอยู่เสมอ..
ผมเจอกับอะไรบ้างในชีวิตแบบ หนูถีบจักร ?
ชีวิตใน “วงล้อของหนู” สำหรับผม ผมเจอกับอะไรบ้าง?
ผมไม่อยากพูดถึงตัวงานอันแสนน่าเบื่อ
ไม่อยากพูดถึงปัญหาจากตัวระบบ หรือการบงการของใคร..
ผมเหนื่อยมากพอแล้วที่จะพูดถึงมัน
แต่จะว่าไปแล้ว..
มันไม่เพียงแค่ความเหนื่อยล้าทางกาย แบบวันต่อวัน ที่เกิดจากภาระงาน
เพราะมันยังมีสิ่งอื่นที่ทำให้ผมยังต้องต่อสู้ในทุกๆ วัน
ผมยังต้องเหนื่อยใจ..
ต้องสู้กับความรู้สึกของตัวเอง และความรู้สึกผู้คนอีกมากมาย
เพื่อรักษา “ที่ยืน” ของตัวเองในสังคม รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองในที่ทำงาน
ผมเคยต้องใช้เครื่องมืออย่าง “ความดูดี”
มาคอยเป็นตัวช่วยพยุงสถานภาพดังกล่าวเอาไว้
ที่ผมเองก็เชื่อเสียเต็มประดาว่ามันจะทำให้ผมได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน
ช่วยให้ผมอยู่รอดต่อไปได้ในที่ทำงาน และ เพื่อความมั่นคงในอาชีพการงาน
ความจริงแล้วผมเหนื่อยเหลือเกิน..
ผมทั้ง เหนื่อย และ อึดอัด ใจ
ผมใช้ความพยายามมากๆ ในการจะเป็น “คนที่ดูดี”
ผมต้องคอยระมัดระวังคำพูด กับเพื่อนร่วมงาน กับเจ้านาย..
ไม่เว้นแม้กระทั่ง กับเพื่อนสนิทของตัวเอง..
ผมไม่ต้องการทำอะไร ที่จะกลายเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง ต่อภาพลักษณ์ในที่ทำงาน
เพราะนั่น.. คงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมต้องเสียคะแนนไปแน่ๆ
แม้บางครั้งต้องฝืนทำ
ผมก็ยังต้องพยายามหาเหตุผลดี ๆ
มารองรับการกระทำอย่างฝืน ๆ ของตัวเอง
เพื่อต้องการจะเป็นคนที่ดูดีให้ได้ อยู่เสมอ
เพื่อรักษาสถานภาพ และอาชีพการงาน
หรือแม้แต่ที่ทางในสังคม.. ผมยอมทำเรื่องที่น่าละอาย
ให้ตายเถอะ..
ผมพึ่งมารู้เอาในวันนี้นี่เอง..
คะแนนบ้าบอคอแตกที่ว่านั่น
ไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้นสักนิดเลย..
ทุก ๆ ครั้งที่ผมพยายามทำงานให้เต็มที่ พยายามจะพูดให้ ดูดี
พยายามจะเป็นคนที่องค์กรต้องการ พยายามไต่เต้าขึ้นไปให้ได้
เงินในกระเป๋าของผมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แม้แต่บาทเดียว!
ผมพึ่งได้สติ.. ว่าที่ผมทำไปนั้น
ก็ทำไปเพียง เพื่อไต่เต้าไปยัง “วงล้ออีกขั้น”
เพื่อให้ได้เป็น หนูถีบจักร เกรดพรีเมียมเท่านั้นเอง..
ผมทำแบบนั้นไปเพื่อใคร.. เพื่ออะไรกัน?
ว่าแล้วผมก็ตัดสินใจปล่อยวาง
และทิ้งเรื่องพวกนั้นไป ในทันทีที่ผมเริ่มคิดได้
ผมจะถูกมองยังไงก็ได้ งานนี้ผมไม่ใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว
ผมจะพูดสื่อสารตรงๆ อย่างจริงใจ ไม่จำเป็นต้องปั้นแต่งคำพูด
ผมแค่ต้องให้เกียรติผู้อื่น ผมจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
ผมรู้อยู่แล้ว.. ว่าผมเป็นคนขี้เกียจ
และผมก็รู้.. ว่าต้องทำยังไงในแต่ละวัน สำหรับการทำงาน
เพื่อจะให้งานที่รับผิดชอบออกมาดี
แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วในมุมของการเป็น หนู
แล้วผมจะเอาเวลาไปทำ ในสิ่งที่ผมอยากจะทำบ้าง
ผมบอกกับตัวเองเสมอ ว่าชีวิตมันไม่ได้ มีด้านเดียว
ในมุมอื่นๆ ผมก็ต้องเติมเต็มมันด้วยเช่นกัน
คำถามต่อไป คือ…
ออกไปทำไรล่ะเจ้า หนูถีบจักร ?
หลายคนมักถูกกรอกหูมาตลอดว่า “เราควรกล้าที่จะเสี่ยง”
กล้าแหกกฏเกณฑ์ ออกจากระบบ เพื่อออกไปทำสิ่งใหม่ๆ
ออกไปหารายได้เสริม ออกไปสร้าง Passive income
บลา บลา บลา…
แต่… ลำพังเพียงแค่ความกล้า
คงไม่อาจทำให้เราหลุดพ้นไปจากตรงนั้นได้..
ผมรู้สึกว่า.. เราจะกล้าแบบคนตาบอดไปทำไมกัน?
เราเดินออกไปโดยไม่มีแสงไฟคอยส่องทาง
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะไปสู่จุดหมายได้จริงๆ?
ทักษะ / ประสบการณ์ / ความรู้ และมายเซ็ต
สิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือ เครื่องมือที่จำเป็น
และสิ่งแรกที่ผมตัดสินใจเอาเวลาไปทุ่มให้กับมัน นั่นคือ “การเรียนรู้”
ไม่มีข้ออ้างใด ๆ อีกต่อไป ถ้าวันนี้ผมไม่อยากเป็น หนู ตัวเดิม
ผมต้องรู้ให้มาก มากพอที่ผมจะก้าวออกไปเผชิญกับโลกภายนอก
ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไรก็ตาม.. ผมต้องรู้ให้พอ
เข้าใจมันให้ได้ ทั้งวิธีการ โอกาสและความเสี่ยง
ผมต้องไม่กลัวที่จะ “ทดลอง” เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่า (แต่ก็ลองแค่พอควร อย่าทำให้ตัวเองพัง)
มันจะหลอมรวมกัน กลายเป็นทักษะใหม่ให้ผมนำไปต่อยอดได้
นี่ต่างหาก คือ ปัจจัยที่จะทำให้ผม.. กล้าเดินออกมาจากในกรอบ
ความกล้า.. ที่มีฐานรองรับ ไม่ใช่ความกล้า.. ที่มาจากการแค่เพียงสูดลมหายใจเข้าไป
แล้วโพร่งออกมาว่า สู้โว้ย!! แบบไปตายเอาดาบหน้า
..มันอันตรายเกินไป
แต่ทว่า.. ความจริงก็คือ..
วันนี้ผมยังคงเป็น หนูถีบจักร ไม่ต่างจากวันวาน
สิ่งที่ต่างออกไป คือ..
ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใน วงล้อ ตลอดเวลา
ผมอยากจะหยุดวิ่ง.. ผมก็ทำได้
ผมอยากจะออกมาวิ่งเล่นข้างนอกบ้าง.. ผมก็พร้อม
ผมมีพร้อมทั้งความรู้ และประสบการณ์เท่าที่จำเป็น
ผมฝึกฝนทักษะอยู่เสมอ.. ผมเจอคอมมูนิตี้ที่ผมใฝ่หา
ผมมีเป้าหมาย และ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
ผมรู้แล้วว่า.. ผมต้องทำอะไร
หรือว่าจริงๆ แล้ว..
ไม่เห็นต้องสนใจเลย ว่าผมจะเป็นหนู, เป็นกวาง หรือเป็นแมว..
ไม่ว่าผมจะถูกใครบางคน.. หรือระบบยัดเยียดให้ผมเป็นอะไรก็ตาม
สิ่งนั้นคงไม่สำคัญหรอก…
สิ่งสำคัญ คือ ผมต้องรู้ให้ได้ ว่าตัวผมเองอยากเป็นอะไร
แล้วออกไปหาวิธีทำมันให้ได้ เท่านั้นก็พอ..
ในที่สุด.. ผมเจอสิ่งนั้น
และวันนี้เหมือนผมได้คำตอบแล้ว..
ผมต้องทำงานเป็น หนูถีบจักร ไปอีกนานแค่ไหนน่ะหรือ ?
ในเมื่อวันนี้ผมมีความสุขกับทุกๆ วันของผมได้แล้ว
ผมอยากตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อให้ผมได้ออกไปใช้ชีวิต
ผมไม่รู้ว่าผมต้องมาคอยตอบคำถามนี้อีกต่อไปทำไมกัน..?
สิ่งสำคัญ คือ ผมต้องรู้ให้ได้ว่าตัวผมเองอยากเป็นอะไร แล้วออกไปหาวิธีทำมันให้ได้เท่านั้นก็พอ..
ผมยังคงยืนอยู่ตรงหน้าตู้ ATM
แม้ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาดูคล้ายว่าผมจะเจอทางออก
แต่วันนี้ตัวเลขตรงหน้า ก็ไม่ได้มากไปกว่าบรรทัดแรกของบทความความสักเท่าไหร่..
เพราะผมรู้แล้วว่า..
ชีวิตนี้ผมไม่ได้ต้องการเงิน เฟียต มากมายอะไรขนาดนั้น
ผมมี เฟียต แค่เท่าที่ผมจำเป็นต้องมี..
ผมยิ้มให้กับตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า..
ผมเดินจากตู้ ATM มาอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ในมือผมกำ Trezor เอาไว้แน่น..
ผมรำพึงรำพันกับตัวเอง..
“ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณจากใจ..”
“Bitcoin”