คุณเคยได้ยินหรือได้เห็นข้อความทำนองนี้ผ่านตากันบ้างไหมครับ?
- ภาพจำเกี่ยวกับ “เศรษฐีใจร้าย” ในนิทานหรือละคร
- วาทกรรม “คนเราไม่ต้องรวยก็มีความสุขได้”
- คนรวยยากจะเข้าสู่สวรรค์ (Matthew 19:24)
- เพราะความรักในเงินเป็นเหตุแห่งทุกสิ่งที่เป็นอันตราย (1 Timothy 6:10)
ตัวอย่างเหล่านี้มักเป็นแนวคิดที่สั่งสอนเราให้ระวังความโลภในเงิน หรือกระทั่งสอนให้อยู่ห่างจากเงิน สอนให้เรารู้สึกผิดแม้เพียงอยากมีเงิน แต่ในขณะเดียวกัน มันกลับเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ พิจารณาได้จากทั้งระบบของเศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคงของสังคมล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยเงิน ทว่าแนวคิดข้างต้นเหล่านี้กลับกำลังชี้นำให้เราเข้าใจว่า “เงินคือสิ่งชั่วร้าย”
ผมจึงอยากชวนให้คุณคิดพิจารณาอีกครั้งว่า เงินนั้นสามารถดีงามหรือชั่วร้ายโดยตัวมันเองได้จริงหรือ? ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะเป็นแค่เหรียญหรือกระดาษแผ่นหนึ่ง หรือในสมัยนี้ก็เป็นเพียงตัวเลขในบัญชีเท่านั้นเอง หรือว่ามันอาจมีสิ่งอื่นที่อยู่เบื้องหลังเงินหรือเปล่า…ที่เป็นผู้ร้ายตัวจริง ถ้าเงินไม่สามารถที่จะดีหรือชั่วร้ายได้ด้วยตัวมันเอง แล้วใครกันล่ะที่สร้างภาพนี้ขึ้นมา พวกเขากำลังปกปิดอะไรเรา?
ถ้าเงินคือรากแห่งความชั่วร้าย...ทำไมทุกคนถึงอยากได้มัน?
แท้จริงแล้ว เงินคืออะไร?
ถ้าถูกถามว่าเงินคืออะไร? หลายคนคงต้องหยุดคิดสักพัก… อาจเพราะเงินนั้นใกล้ตัวเกินไปจนเราละเลยมันไปเสียแล้ว ดังนั้นก่อนจะพิจารณาว่าเงินนั้นดีหรือชั่ว เรามาทำความรู้จักเงินกันก่อนดีกว่า
เงิน (money) ในความหมายที่เรียบง่ายที่สุดคือ เทคโนโลยีทางสังคมซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ “จัดการการแลกเปลี่ยน” มันอาจจะเป็นสิ่งของที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่มักจะมีคุณสมบัติสำคัญอยู่ 3 ประการ ดังนี้
- แหล่งเก็บรักษามูลค่า เงินที่ดีต้องสามารถรักษามูลค่าหรือกำลังซื้อของมันได้ เพื่อให้เราสามารถเก็บออมและนำไปใช้จ่ายในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
- ตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เงินช่วยแก้ปัญหาการแลกสิ่งของโดยตรง (Barter) ที่ทั้งสองฝ่ายอาจไม่มีของที่อีกฝ่ายต้องการ ช่วยให้การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นได้ง่าย โดยอาศัยเงินเป็นสื่อกลาง
- หน่วยวัดทางบัญชี เงินทำหน้าเป็น “ไม้บรรทัด” มาตรฐานที่สามารถใช้เปรียบเทียบราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องจดจำอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ซับซ้อนวุ่นวาย
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราได้ลองผิดลองถูกในการนำสิ่งต่าง ๆ มาใช้เป็นเงินมาแล้วนับไม่ถ้วน โดยในอารยธรรมต่าง ๆ นั้น สิ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นเงินในช่วงต้นอาจแตกต่างกันออกไป แต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกใช้เป็นเงินจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน มักจะมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ประการดังที่กล่าวไปแล้วอย่างครบถ้วน ซึ่งเงินที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกมานานหลายพันปีก็คือ “ทองคำ” และสาเหตุหลักที่ทองคำถูกยอมรับมาอย่างยาวนานได้ ก็เพราะมันเป็นโลหะหายาก ทนทาน ไม่สึกกร่อน ไม่เป็นสนิม และมีต้นทุนในการผลิตที่สูงมาก จนไม่สามารถผลิตเพิ่มทีละมาก ๆ ได้โดยง่าย หรือเรียกได้ว่าทองคำเป็น “เงินสร้างยาก” นั่นเอง
ก่อนจะไปเนื้อหาส่วนถัดไป ผมอยากจะชวนคุณถามตัวเองอีกครั้งว่า เงินยังสามารถเป็นผู้ร้ายได้ไหม? หรือแท้จริงแล้ว…
เงินเป็นเพียงเครื่องมือชนิดหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น
การมาถึงของระบบเงินสร้างง่าย (easy money) ที่บิดเบี้ยว
ถึงแม้ทองคำจะมีคุณสมบัติของเงินที่ดีครบถ้วน และถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง แต่การใช้ทองคำโดยตรงไม่สามารถตอบสนองการค้าขายแลกเปลี่ยนในยุคที่ทั้งโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อีกต่อไป เพราะการส่งทองคำข้ามระยะทางไกลนั้นทำได้ยาก และมีต้นทุนที่สูงมาก จึงมีการคิดระบบเงินแบบใหม่ขึ้นมาใช้งานแทน
อย่างไรก็ตาม ระบบเงินแบบใหม่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของทองคำในช่วงแรกนั้น ก็ยังคงใช้ทองคำเป็นสิ่งอ้างอิงมูลค่า เช่น มีการออกตั๋วแลกทองคำ (หรือในชื่อที่เราคุ้ยเคยกันในทุกวันนี้ว่า “ธนบัตร”) ที่มีทองคำหนุนหลังมูลค่าอยู่และสามารถนำมาแลกคืนเป็นทองคำเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ การใช้ตั๋วแลกทองคำมีส่วนช่วยให้การค้าขายแลกเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว และเท่าทันกับโลกยุคสมัยใหม่ที่เดินไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
แต่อนิจจา
ความสะดวกสบายที่ว่า
กลับต้องแลกมาด้วยการรวมศูนย์
ทองคำเริ่มถูกนำไปเก็บรวมไว้กับผู้รับฝาก อย่างเช่นธนาคาร สถาบันการเงิน รวมถึงธนาคารกลางของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนเริ่มเคยชินกับการใช้กระดาษอย่างตั๋วแลกทองทำหรือธนบัตร จนไม่สนใจความสามารถในการแลกกลับเป็นทองคำอีกแล้ว อาจกล่าวได้ว่า หากรัฐพิมพ์ธนบัตรออกมาเพิ่มเกินกว่ามูลค่าทองคำที่ค้ำประกันอยู่ก็คงไม่มีใครรู้อีกต่อไป เกิดเป็นช่องโหว่สำคัญของระบบเงินแบบใหม่นี้ เมื่อระบบเงินต้องเชื่อใจตัวกลางผู้มีอำนาจล้นฟ้าอย่างรัฐบาล ซึ่งสามารถกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย และขยายกฎเกณฑ์ใด ๆ ได้ตามต้องการ เงินในระบบใหม่นี้ก็กลายเป็นเพียงกระดาษหรือตัวเลขที่รัฐบาลและธนาคารกลางสามารถสร้างขึ้นได้อย่างไม่จำกัด อันเป็น “เงินสร้างง่าย (easy money)” ที่ก่อให้เกิดความบิดเบี้ยวของกลไกตลาดตามมา โดยที่พวกเราก็ไม่รู้ตัว
และเงินสร้างง่ายนี้ก็ได้ทำให้ “คุณสมบัติของเงินที่ดี” ต้องพังทลายลงไป
แต่ใช่ว่าระบบเงินสร้างง่ายนี้จะมีแต่ผลเสีย เพราะในอีกด้านหนึ่งก็มีผู้ได้ประโยชน์ โดยเมื่อมีเงินที่ถูกสร้างหรือพิมพ์เพิ่มขึ้นมา คนกลุ่มแรกที่ได้ใช้เงินผลิตใหม่นี้ก็คือรัฐบาล สถาบันการเงิน และกลุ่มบรรษัทที่ใกล้ชิดอำนาจรัฐ พวกเขาสามารถนำเงินที่สร้างขึ้นใหม่นี้ไปเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ก่อนที่ผลพวงของเงินเฟ้อจะกระจายไปทั่วทั้งระบบ ซึ่งกว่าที่เงินผลิตใหม่นี้จะไหลไปถึงมือประชาชนทั่วไปอย่างมนุษย์เงินเดือนหรือคนหาเช้ากินค่ำ เงินที่พวกเขามีอยู่ในมือก็เสื่อมค่าลงเป็นที่เรียบร้อย และราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ ก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว ทำให้พวกเราทุกคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเงินผลิตใหม่ได้แต่รู้สึกว่า ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่รวย ยิ่งขยันก็ยิ่งจน จนเกิดความขุ่นเคืองและเกลียดชัง “เงิน” และ “คนรวย” จากปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
โดยที่พวกเราอาจไม่เข้าใจเลยว่าตัวการที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเงิน แต่คือระบบเงินสร้างง่ายที่เอื้อให้เกิดการเอาเปรียบเช่นนี้
นอกจากเงินสร้างง่ายจะสร้างความเหลื่อมล้ำ มันยังทำลายศีลธรรมในสังคมให้ย่อยยับลงไปด้วยเช่นกัน เมื่อมีการสร้างเงินเพิ่มไม่หยุดจนเงินทั้งหมดเสื่อมค่าลงตลอดเวลา สังคมจึงถูกบีบให้ต้องรีบบริโภค รีบหา รีบใช้ รีบกอบโกย มือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนที่เงินจะเสื่อมค่ามากไปกว่านี้
เราจึงรู้สึกว่าผู้คนโลภมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันน้อยลง ซ้ำร้ายเมื่อคนไม่เข้าใจระบบเงินที่เป็นอยู่ การโยนความผิดไปที่ตัวเงินก็ช่วยอำพรางระบบที่บิดเบี้ยวและล้มเหลวได้ อีกทั้งยังเป็นการจำกัดกรอบความคิดไม่ให้คนตั้งคำถามถึงต้นตอที่แท้จริงของศีลธรรมที่เสื่อมทรามในสังคมทุกวันนี้
เมื่อจุดบกพร่องและผิดเพี้ยนในสังคมคือระบบเงินที่ล้มเหลว การแก้ปัญหาอาจไม่ใช่การออกกฎหมายบ้อ ๆ บอ ๆ เช่น การขึ้นภาษี การลดดอกเบี้ย การกีดกันการค้า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ฯลฯ ที่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์กลับกลายเป็นการยิ่งต้องพิมพ์เงินเพิ่มและเพิ่มอำนาจการควบคุมให้รัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หนทางแก้ที่แท้จริงนั้น อาจทำได้ด้วยการออกจากระบบมาตรฐานเงินสร้างง่ายนี้ เพราะ..
เกมที่กติกาไม่ยุติธรรม
สู้ไปก็ไม่มีวันชนะ
ระบบเงินสร้างยาก (hard money) รูปแบบใหม่ ที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจ
เมื่อได้เห็นความบิดเบี้ยวและอยุติธรรมของระบบเงินสร้างง่ายแล้ว ผมเชื่อว่าคุณคงเริ่มรู้สึกอึดอัดและอยากหลุดพ้นจากขุมนรกนี้ขึ้นมาบ้าง เช่นเดียวกับบุคคลหรือกลุ่มคนซึ่งใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ที่ได้นำเสนอเอกสารทางวิชาการในชื่อ Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System ซึ่งมีใจความสำคัญกล่าวถึงวิธีสร้าง “เงินสดอิเล็กทรอนิกส์” ที่ผู้ใช้สามารถส่งหากันได้โดยตรงผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางที่น่าเชื่อถือ (Trusted Third Party) อันเป็นช่องโหว่ให้มีการควบคุมระบบและบิดเบือนอุปทานของเงินได้ พร้อมทั้งยังเสนอวิธีแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดของระบบเงินดิจิทัล นั่นก็คือปัญหา “การใช้เงินซ้ำซ้อน (Double-Spending)” ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีเงินดิจิทัลชนิดไหนทำได้มาก่อนโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง
หากคุณสนใจศึกษา Bitcoin Whitepaper โดยละเอียด อ่านฉบับแปลไทยได้ที่นี่
นอกจากนี้ เทคโนโลยีทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นระบบบิตคอยน์นั้น ยังสามารถแก้ปัญหาหลัก ๆ ของระบบเงินสร้างง่ายในปัจจุบันได้ดังนี้
- หยุดการลดมูลค่าของเงินจากการพิมพ์เงินเพิ่ม เพราะไม่มีใครสามารถผลิตบิตคอยน์ให้มีปริมาณมากกว่า 21,000,000 BTC ได้ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกฎนี้ได้ตามอำเภอใจ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บิตคอยน์ มีจำนวนไม่เกิน 21 ล้านจริงหรือ?)
- ย้ายอำนาจออกจากมือของคนกลุ่มเล็ก ๆ และกระจายมันออกไป ทำให้ไม่มีใครสามารถใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองหรือพวกพ้องได้ เพราะเครือข่ายบิตคอยน์ถูกบริหารจัดการโดยผู้ใช้งาน (Users) โหนด (Nodes) และนักขุด (Miners) จำนวนมหาศาลทั่วโลกที่ทำงานภายใต้กฎฉันทามติเดียวกัน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บิตคอยน์ เครือข่ายเส้นใยเห็ดราแห่งระบบการเงิน)
- บิตคอยน์มีต้นทุนที่แท้จริง เพราะมันผูกมูลค่าต้นทุนของตัวเองเข้ากับทรัพยากรในโลกกายภาพที่เสกเพิ่มไม่ได้ นั่นคือพลังงานและเวลา (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บิตคอยน์ทำลายสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?)
การถือกำเนิดของบิตคอยน์เปรียบดังแสงแรกแห่งรุ่งอรุณหลังยุคเงินสร้างง่ายอันมืดมิด ด้วยคุณสมบัติการเป็น “เงินสร้างยาก (hard money)” ที่แท้จริง ทำให้บิตคอยน์เป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุด ในการแก้ไขปัญหาใหญ่ที่สังคมมนุษย์กำลังเผชิญในเวลานี้
และเมื่อเรากลับมาที่คำถามตั้งต้นที่ว่า “เงินนั้นชั่วร้าย หรือถูกใส่ร้ายกันแน่?” ผมเชื่อว่าเงินนั้นไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่ต้องหลีกหนีหรือน่ารังเกียจ แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้อง “ทำความเข้าใจ” เพื่อที่จะมองเห็นถึงอันตรายของระบบเงินสร้างง่ายในปัจจุบัน และเพื่อให้รู้ทันว่า ผู้ร้ายตัวจริงที่กำลังใช้เงินเป็นเครื่องมือทำลายสังคมมนุษย์อยู่นั้น…คือใคร
จากนี้ พวกเราจะไม่ต้องกลัวเงินอีกต่อไป เพราะเมื่อบิตคอยน์คืนสิทธิ์ในการเลือกระบบเงินที่ยุติธรรม และทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนได้ตรงวัตถุประสงค์ของเงินได้อย่างแท้จริง จากนี้เราก็สามารถที่จะลงมือสร้างสังคมที่ดีกว่า มั่นคงกว่า และยั่งยืนกว่า เพื่อตัวเราเองและคนรุ่นลูกรุ่นหลานสืบต่อไป เพราะเงินที่สร้างยากและยุติธรรม ช่วยให้มนุษย์สามารถเก็บออมเพื่อสร้างอนาคตที่ดีได้จริง
ผมขอจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาจนจบ คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันได้ แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้า…สวัสดีครับ